ทุกวันนี้คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักคุณท็อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและ Group CEO BITKUB บริษัทที่ทำเกี่ยวกับ Crytocurrency และ Blockchain ที่ใหญ่ที่สุดในไทย วันนี้เกลาขอนำทุกท่านมาทำความรู้จักมุมมองความคิด ของคุณท็อปผ่านคำถามต่าง ๆ จากบทสัมภาษณ์นี้กัน
นิสัย เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลทำให้เราแตกต่างจากคนอื่นได้มหาศาล จะฝึกนิสัยได้ ต้องมีวินัยสูง ต้องลงมือทำแบบเดิมไปเรื่อย ๆ จนชิน
ทำงานหนัก ทำงานทุกวัน เริ่มมาจากตอนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนั้นเกเรมาก ไม่มีที่เรียนในไทย พอมีโอกาสได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่อังกฤษ ก็ได้ให้สัญญากับตัวเองว่าจะตั้งใจเรียน ใช้เวลานานกว่าจะเปลี่ยนนิสัยได้
แรกเริ่มเดิมทีเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือเลย พออยู่มหาวิทยาลัยต้องอ่านหนังสือวันละ 10 - 12 ชั่วโมง มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก แต่เราก็ฝืน ฝืน ฝืนไปเรื่อย ๆ จนความเจ็บปวดมันน้อยลง จนมันกลายเป็น ‘นิสัย’ ตื่นมาปุ๊บก็ไปอ่านหนังสือเองอัตโนมัติ
No life แทบจะไม่มีชีวิตเลย แต่ในเมื่อเป้าหมายของเราคือการสอบติด Oxford และชีวิตเรามันก็มีแค่ชีวิตเดียว อยากทำตามความฝัน อย่างน้อยตายไปก็นอนตายตาหลับ เรียนหนักแค่ไหนก็สู้ ไม่ได้กลับบ้านไปเจอพ่อแม่ ต้องเสียสละทุกอย่างที่สำคัญ นั่นก็เพราะเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน
ทุกวันที่ไปห้องสมุดก็ไม่ได้อยากไปหรอก แต่เราตื่นขึ้นมาด้วยเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่สำหรับตัวผมในยุคนั้น “ ในชีวิตนี้ก่อนตายไป ฉันต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยเบอร์หนึ่งให้ได้!”
เราจะรู้ว่าต้องเปลี่ยนตัวเองยังไงให้มีนิสัย ที่จะช่วยสามารถผลักเราให้ไปถึงเป้าหมายนั้นได้
กล้าที่จะท้าทายตนเอง กล้าที่จะคิดต่าง ทำต่าง กล้าที่จะทำสิ่งที่ตัวเองกลัว กล้าที่จะทำสิ่งที่อยู่นอก Comfort Zone ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
สิ่งไหนที่มันยาก สิ่งไหนที่เรากลัว ทำมันทุกวัน จนเราเป็นคนที่เก่งขึ้น สามารถพัฒนาตนเองได้ทันบริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วได้
ถ้าเรารู้สึกว่าชีวิตมันสบายเกินไป รู้ตัวแล้วว่ากำลังอยู่ใน Comfort Zone ของตัวเอง
ให้ลองทำสิ่งที่เราไม่กล้า 1 อย่างทุกวัน พอเราทำเรื่อย ๆ พื้นที่ Comfort Zone ของเรามันจะใหญ่ขึ้น ทำมันจนชิน แล้วเราก็จะกลายเป็นคนที่ ‘เก่งขึ้น’
ผู้ประกอบการที่ดีต้องทำงานหนัก คนส่วนใหญ่คิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน
ผลที่ได้คือค่าเฉลี่ย
Work กับ Life เป็นอย่างเดียวกันไป แล้วสำหรับคนที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์
คุณเคยอยากได้อะไรที่สำคัญกับชีวิตของคุณมาก ๆ ไหม จนคุณยอมที่จะเสียสละอย่างอื่นในชีวิตของคุณได้
ถ้าสละไม่ได้ คุณก็คือ ‘ค่าเฉลี่ย’ เราทุกคนมีเวลาเท่ากัน คือ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ มีสองแขน สองขาเหมือนกัน ถ้าคุณอยากได้ผลลัพธ์ที่เกินค่าเฉลี่ย นั่นแปลว่าคุณต้องยอมเสียสละเกินค่าเฉลี่ยในบางอย่าง
Pareto Rule กฎ 80 20 ทำน้อย ได้มาก ก็เห็นด้วย แต่เราควรทำงานให้หนักด้วย
เพราะถ้าคุณทำน้อย ได้มาก แต่คุณทำตัวสบาย ๆ คนอื่นทำน้อย ได้มาก แต่เวลาที่เหลือ เขาทำงานหนักไปด้วย เขาก็แซงคุณได้ เพราะเราอยู่ในโลกที่มันขับเคลื่อนไวมาก
นักฟุตบอลที่เก่งที่สุด ไม่ไปตีแบด ไม่ไปว่ายน้ำเล่นแต่ฟุตบอล เขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น
ถ้าเรามีแพสชันกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราจะไม่มีคำว่า ‘พอ’ มันจะมีแต่ประโยคที่ถามตัวเองว่า จะทำยังไงให้เก่งขึ้น จะทำยังไงให้ดีขึ้น
การที่ทำอะไรที่มันยาก มักจะเจ็บปวดอยู่แล้ว เพราะมันมีอุปสรรคแน่นอน แต่ถ้าคุณมุ่งมั่น คุณมีแพสชันกับมัน คุณจะยืนระยะได้นาน
และอีกอย่างคือ การที่คุณจะประสบความสำเร็จกับอะไรบางอย่างได้ มันต้องใช้เวลานานมาก ๆ ต้องใช้ความอดทนสูงมาก ๆ ถ้าคุณไม่มีแพสชันกับมันจริง ๆ คุณก็จะยอมแพ้ไปในที่สุด
ถ้าไม่ใช่เพื่อเงินแล้ว ก็ยังคงทำสิ่งนี้อยู่
ถ้าคุณคิดว่าจบมหาวิทยาลัยแล้วจะหยุดการเรียนรู้ ถือว่าคุณเรียนรู้แค่ 1 ใน 10 ของชีวิตการทำงาน เวลาเรียนจบมา
เราต้องรู้จัก Unlearn เนื้อหาความรู้ที่เราได้เรียนมาด้วย สิ่งที่ถูกจัดเก็บไว้ในหัวของเรามันอาจจะไม่เป็นความจริงแล้ว เพราะโลกเราเปลี่ยนไปไวมาก
และเราจะต้อง รู้จัก Relearn สิ่งใหม่ให้ได้ เข้าใจสภาพแวดล้อมใหม่ เอาอีโก้ออก ปรับตัวให้ได้
ในปัจจุบันคนอยากจะประสบความสำเร็จเร็ว
อยากได้อย่างนั้น อยากเป็นเหมือนคนนี้ มันก็ถูกเติมเต็มได้ด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งมันทำให้ความอดทนเราน้อยลง
ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จได้ชั่วข้ามคืน มันต้องใช้เวลานานมาก ๆ ถ้าเราอดทนกับความเจ็บปวด ฝืนมันนาน ๆ จนคุณไม่เจ็บปวด
คุณจะกลายเป็นคนที่ยอมรับความเจ็บปวดนั้นได้ และมันจะทำให้คุณเหนือกว่าคนอื่น
ความล้มเหลวถือเป็นความเจ็บปวดชนิดหนึ่ง การที่จะรับมือกับมันได้คือเราต้องรู้ว่า เราต้องการอะไรจริง ๆ
ถ้าคุณเจอสิ่งนั้น แล้วพร้อมที่จะยอมเสียสละ ทุกอย่างในชีวิตเพื่อที่จะได้มัน เรื่องอื่นจะเบาไปเลย
ความล้มเหลวอะไรก็จะเป็นเรื่องที่สบายมาก เพราะยังไงคุณก็จะลุกขึ้นกลับมาสู้ใหม่อยู่แล้ว ถ้าคุณต้องการมันจริง ๆ
การรับมือกับความล้มเหลว มันเป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนกันได้ ก็เหมือนกับการอกหักครั้งแรก
เจ็บปวดเท่าไร ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม
มันก็ยังเจ็บแหละแต่ก็จะเบาลง ครั้งแรกจะเจ็บปวด จะทุกข์และทรมานมาก แต่พอเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน มันจะทำให้เรากัดฟันสู้ต่อ
ท้อและเครียด มันเป็นเรื่องปกติ ขอแค่อย่าถอย ลุกขึ้นมาลงมือทำใหม่ทุกวัน ถ้าเราอยากได้อะไรมาก ๆ แล้วไม่เครียดเลยจะถือว่าแปลก เพราะนั่นแสดงว่าคุณไม่ได้ต้องการมันจริง ๆ
ถ้าเรายังไม่สามารถนำตัวเองได้ เราจะไปนำคนอื่นได้อย่างไร ถ้าเราอยากเปลี่ยนโลก อยากจะสร้างอิทธิพล แต่ในเมื่อเรายังเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ เราจะเปลี่ยนคนอื่นได้อย่างไร
คุณต้องฝึกตัวเองให้ได้ก่อน คุณถึงจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนรอบข้างได้
ถ้าเราเปลี่ยนตัวเองได้ อาจจะแค่มีความคิดว่าเราจะเก่งขึ้น เราจะเปลี่ยนตัวเอง แล้วลงมือทำ การกระทำของเราที่แสดงออกไป ก็สามารถเป็นแรงผลักดัน ให้คนอื่นหันมาลงมือทำได้ด้วยเหมือนกัน
มันสำคัญมากที่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองให้ได้ก่อน เราคือค่าเฉลี่ยของ 5 คน เราจะดึงค่าเฉลี่ยขึ้น ทุกการลงมือทำของเรา คนรอบข้างก็จะได้รับแรงบันดาลใจไปด้วย เขาก็จะพยายามเปลี่ยนให้ได้เหมือนเรา