วันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ คุณนก มณีรัตน์ CEO หญิงแห่ง SEA Thailand ที่ปัจจุบันนี้ กำลังจับธุรกิจอยู่ 3 ตัว คือ 1. Garena ที่เป็นธุรกิจเกม 2. AirPay (Shopee Pay ในปัจจุบัน) ที่เป็น Payment และ 3. Shopee ที่เป็น E-commerse เชื่อว่าหลายคนคงจะเป็นหนึ่งในผู้บริโภคธุรกิจของคุณนกกัน ไม่มากก็น้อย
คุณนกชวนคุยว่า Soft Skill คือ ทักษะการใช้ชีวิต การสื่อสาร การเจรจาต่อรอง การอ่านคน ส่วน Hard Skill คือ สิ่งที่ฝึกกันได้ มันเป็นทักษะทางความรู้ เช่น เก่งฟิสิกส์ เก่งเลข ซึ่งในการทำงาน มันจะมีการติดต่อสื่อสารกับคน ถ้าเรามีแต่ Hard Skill แล้วไม่รู้จะสื่อสารออกมาอย่างไร เราจะอธิบายให้คนเข้าใจได้อย่างไร การทำงานร่วมกันเป็นทีมคืออะไร ถ้าเราทำตรงนั้น หรือส่วนที่เรียกว่า Soft Skill ไม่ได้ การก้าวหน้าต่อไปของเรา ก็จะค่อนข้างจำกัด ดังนั้น คนเราจึงต้องมีทั้ง Soft Skill และ Hard Skill
คุณนกเสนอว่า มันคือทักษะการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น ทำงานร่วมกันเป็นทีม เข้าใจว่าแต่ละคนมีข้อดีที่ต่างกัน รู้จักรับฟัง เคารพความคิดของเพื่อนร่วมทีม เพราะเขาอาจจะมองเห็นอะไรที่คุณไม่เห็นก็ได้ และสิ่งสำคัญคือ การปรับตัว และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ประสบการณ์ที่คุณนกได้จากการไปเรียนต่างแดน
การเล่นเกม ก็เหมือนกับการใช้สื่อ Social Media ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้มันแบบไหน ทุกอย่างมันมี 2 ด้านเสมอ เราใช้มันอย่างถูกต้องหรือผิดวิธี อย่างที่เรามักจะได้ยินกันว่า เด็กหรือเยาวชนใช้เกมอย่างผิดวิธี แล้วไม่มีใครเตือนเขา ดังนั้น ความเข้าใจของครอบครัวที่มีต่อลูกหลาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเกม สื่อ Social Media หรือเทคโนโลยีที่เข้ามา แล้วเราต้องอยู่กับมัน เรากั้นมันไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นทำอย่างไรให้ผู้ปกครองรับมันเข้ามา แล้วอยู่กับลูก สอนลูกว่าเป็นแบบไหน เป็นอย่างไร แล้วโฟกัสด้านดีของมัน ใช้มันให้เป็นประโยชน์
E-Sport คือ เกมที่เล่นเป็นกีฬาได้ ซึ่งปัจจุบันถูกบรรจุเป็นกีฬาซีเกมส์แล้ว
ลักษณะง่าย ๆ ที่บ่งบอกว่าเป็น E-Sport คือ
การเล่นเกม เป็นการคลายเครียดอย่างนึง ทำให้สมองผ่อนคลายจากสิ่งที่เราเจอมาทั้งวัน ให้มันได้พักบ้าง เล่นสัก 15 – 20 นาที เมื่อเล่นเสร็จก็กลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ
ให้ดูตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจเกม จริง ๆ แล้ว เขาไม่ได้เล่นเกมทั้งวัน เขามีการแบ่งเวลาอย่างถูกต้อง
การชอบเกม มันคือ Passion เราต้องคิดต่อว่า เราจะเปลี่ยนจาก Passion มาช่วยพัฒนาตัวเราได้อย่างไรบ้าง คนที่ชอบเกมมาก ๆ ก็มีหลากหลายอาชีพที่รองรับ เช่น นักกีฬา E-Sport ซึ่งอาจจะยากนิดนึง เพราะไม่ใช่ใครก็สามารถเป็นนักกีฬาได้ ทว่าข้าง ๆ นักกีฬาก็ยังมีนักพากย์เกม ถ้าคุณชอบเล่นเกม สื่อสารได้และกล้าแสดงออก หรือคุณชอบเล่นเกม และชอบกราฟิกดีไซน์ คุณอาจจะไปเรียนกราฟิกดีไซน์ แล้วมาออกแบบตัวละครในเกม แบบนี้ก็ย่อมได้
เปลี่ยนแง่ความคิด จากที่เคยคิดว่า ชีวิตจะเป็นแบบนั้น แบบนี้ตามแผน ความสำคัญในชีวิตก็เปลี่ยนไป จากที่เคยให้เวลากับการทำงานมาก จนให้เวลากับครอบครัวน้อย พอมีเรื่องนี้เข้ามา ทำให้ฉุกคิดว่า จริง ๆ แล้ว อะไรมันสำคัญกับชีวิตเรา เรากำลังใช้ชีวิตแบบที่มันสมควรจะเป็นไหม
เราต้องเรียกสติ พอมีสิ่งที่เราไม่คาดหวังเข้ามา จนทำให้แพลนที่วางไว้ล่มไม่เป็นท่า ในทุก ๆ เรื่องที่เกิดขึ้น มันก็เหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน มีทั้งด้านดีและไม่ดี อยู่ที่เราว่าจะเลือกโฟกัสด้านไหน
ในทุก ๆ เรื่องที่เกิดขึ้น มีข้อดีของมันอยู่ แล้วเรามองข้อดีของมันเจอไหม เหมือนตอนที่โดนเปลี่ยนสายจากวิศวะไปเป็นการตลาด ถ้ามองในมุมที่ดี มันก็ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ การไปอยู่ฝั่งการตลาด ได้ติดต่อสื่อสารกับต่างประเทศ เราก็ได้เรียนภาษา ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่เรายังอ่อนอยู่ ถือเป็นโอกาสที่เราจะได้พัฒนามัน และยังได้เจอสังคมใหม่ที่ไม่เคยเจอด้วย
เรื่องลูก ก็มองว่า เขาก็ยังอยู่ เรายังได้เล่นกับเขา มีโอกาสได้ดูแลเขา
คุณนกเชื่อว่า ถ้าเรามีพลังบวก คนรอบข้าง เราก็จะบวก มันสัมผัสได้ เหมือนเป็นแรงดึงดูดแบบนึง มันจะเสริมกัน ทว่าถ้าเราเฟล เราลบ แรงมันจะส่งไปถึงคนรอบข้างเหมือนกัน พอเราเฟล เราลบปุ๊บ คนรอบข้างเราก็จะลบด้วย ทีนี้ยิ่งเฟลกันไปใหญ่ จึงสำคัญมากที่เราจะต้องคิดบวก
หลังจากกลับบ้าน ส่งลูกเข้านอน จะคุยกับตัวเอง ว่าวันนี้ทำอะไรไปบ้าง นั่งเช็ค To Do List ของตัวเอง ว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไร และจะมีช่วงเวลาก่อนนอน ที่เรียกว่า ‘เวลาตามใจตัวเอง’ จะถามตัวเองว่า อยากทำอะไร บางวันก็ไม่อยากจะทำอะไร แค่อยากจะนั่งดูทีวี บางทีก็อยากจะนอนเลย บางครั้งก็อยากจะเล่นเกม การที่ได้ทำแบบนี้ มันทำให้เราหลับไปแบบสบายใจ ไม่เครียด เช้าวันรุ่งขึ้นที่ตื่นขึ้นมา ก็จะรู้สึกสดชื่นมาก
ร่างกายคนเรา มันก็เหมือนกับเครื่องจักร ถ้าเราเปิดเครื่องจักรสุดเลย มันก็อาจจะไม่ไหวเอาได้ มันต้องมีการผ่อนบ้างเป็นช่วง ๆ ทว่าก็ไม่ใช่ผ่อนลงมาหมดเลยเช่นกัน
ทักษะคิดเป็น
ในปัจจุบัน มีข้อมูลข่าวสารเยอะมาก เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าสิ่งที่เราอ่านหรือได้ฟังมานั้น มันเป็นเรื่องจริง เราต้องคิดให้เป็น ต้องรู้ว่าข้อมูลพวกนี้มาจากไหน เราวิเคราะห์ได้ไหม ว่าจริง ๆ มันเป็นอย่างไร ทดสอบไอเดียของตัวเองต่อได้ไหม ว่าสิ่งที่เราคิด มันใช่หรือไม่ มันเป็นแบบนั้นจริงไหม หรือจริง ๆ แล้ว เราต้องหาข้อมูลอะไรเพิ่มไหม เพื่อที่จะทำให้เราแน่ใจได้ว่า สิ่งที่เราคิด มันใช่
คิดเป็น ก็เหมือนคนทำงานเป็น
ในปัจจุบัน หัวหน้า เขาก็ต้องการลูกน้องที่จะมาเป็นคู่คิด คุณช่วยเขาคิดได้หรือเปล่า คุณช่วยคิดต่อได้ไหม ว่าทำอย่างไร มันถึงจะดีขึ้น
ทุกอย่างมันต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีทางที่คน ๆ นึง จะรู้ทุกอย่างได้
ดังนั้น คนที่ไม่ถ่อมตน คิดว่า ‘ฉันรู้’ ‘ฉันแน่’ โอกาสที่จะไปข้างหน้าได้ มันจะน้อยกว่าคนที่รู้ว่า เรายังต้อง‘พัฒนา’ เราต้องไม่ลืมว่า เรามาจากไหน วิเคราะห์พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ
เราเปลี่ยนตัวเองได้ เปลี่ยนคนอื่นยาก เราจะไปคาดหวังให้คนรอบข้าง เขาเปลี่ยนตัวเขา เปลี่ยนความคิดเขา มันทำไม่ได้ ถ้าทำได้ ก็เหมือนเรากำลังไปฝืนใจเขาอยู่หรือเปล่า
ถ้าเรารู้สึกว่าเราไม่ชอบ มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด จริง ๆ แล้ว เราควรจะกลับมาดูที่ตัวเองก่อนไหม ทำไมเราถึงรู้สึกอย่างนั้น มันอาจจะเป็นเพราะเราเองก็ได้ เราอาจจะไปจู้จี้เขาเกินไปหรือเปล่า หรือเรากำลังคาดหวังอะไรมากเกินไปไหม หรืออันที่จริง เราอาจจะยังทำไม่เต็มที่เองหรือเปล่า
การเกลาตัวเอง เราสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ เราเปลี่ยนให้เราเป็นคนที่มีพลังบวกได้ คนรอบข้างเราก็จะซึมซับพลังบวกพวกนั้น แล้วเขาก็จะเปลี่ยนตัวเขาให้มีพลังบวกเหมือนเราได้