เปลี่ยนลุคให้กลายเป็นคนมั่นใจ สำหรับคนขี้อาย | ธัญญ่า John Robert Powers ทายาทสถาบันพัฒนาบุคลิกภาพ

วิธีการเข้าสังคมแบบคนมั่นใจ ไปไหนก็ไม่มีเขิน

คุยกับ ธัญญ่า รอตก้า ทายาทรุ่นที่สองของ John Robert Powers Thailand สถาบันพัฒนาภาพลักษณ์และบุคลิกภาพอันดับ 1 ของเมืองไทย

บุคลิกภาพเป็นพฤติกรรมการแสดงออก เราแสดงออกผ่านเสื้อผ้า ผ่านท่าทาง ผ่านวิธีการที่เราจะสื่อสาร ซึ่งต้นตอของทั้งหมดที่เราแสดงออกมาจากใจ ใจเราตอนนี้คิดยังไงกับตัวเอง มีอคติกับตัวเองไหม มีทัศนคติที่ดีกับตัวเองไหม เข้าใจตัวเองไหม และมีทัศนคติแบบไหนกับคนที่กำลังจะไปเจอ มันจะมีปฏิกิริยาออกมาเป็นพฤติกรรมทั้งหมด

ประสบความสำเร็จมีแค่ความรู้พอไหม?

ถ้าจะปฏิเสธว่าไม่พอซะทีเดียวก็คงไม่ได้ เราอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของบุคลิกภาพ ด้วยความสามารถเรา ทำให้เราประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้ามันมีคู่กัน มันเหมือนเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ตัวเองมากขึ้นดีกว่า ไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่ได้ จะมีแต่บุคลิกดีแต่ไม่มีความรู้ความสามารถในบางอย่าง ในเป้าหมายที่วางไว้ ก็คงเป็นไปไม่ได้ พี่ว่ามีทั้ง 2 อย่างเป็นการเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง มองว่าบุคลิกภาพเป็นเหมือนพฤติกรรมการแสดงออกของเรากับคนหนึ่งคน

การมีบุคลิกภาพที่ดีเราจะสูญเสียความเป็นตัวตนไหม

“มันจะสูญเสียความเป็นตัวตน ถ้าเราไม่เริ่มต้นจากการทำความรู้จักตัวเองและยอมรับ”

มันเสียแน่นอน เพราะมันจะกลายเป็นว่ามาถึงปุ๊บ ก็จะมีคนบอกว่า แต่งตัวแบบนี้สิ เดินแบบนี้สิ นั่งแบบนี้สิ พูดจาแบบนี้สิ มันทำง่ายเนาะ เพราะมันมีมาตรฐานกลางว่า ถ้าคุณอยากดูเป็นมืออาชีพ ถ้าคุณทำประมาณนี้ ดูเป็นมืออาชีพแน่นอน แต่สุดท้าย เราไม่ใช่ขวดน้ำที่เวลาทำ Branding ติดฉลาก ติดโลโก้ แล้วมันไม่มีแรงต้าน มันยอมให้เราติดแล้วก็ตั้งขาย เราเป็นคน คือถ้าเรามีความใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาบอก เป็นคนชอบแบบนี้แล้ว เป็นคนชอบความเป๊ะ อยู่ได้ ทำได้สบาย ไม่มีหลงลืม แสดงว่าตัวตนเราจริงๆ มันมาสายนี้แนวนี้ พอบอกมันก็ทำง่าย อยากให้เราโฟกัสสิ่งที่เป็นข้อดีหรือจุดเด่นของเราและใช้ตรงนั้นเป็นพลังในการผลักให้เราไปข้างหน้า สุดท้ายแล้ว อยากให้คนเขาจำเราแบบไหน เราเลือกที่จะแสดงออก เลือกที่จะสื่อสารตัวตนของเราได้ แล้วหาจุดสมดุล ถ้าเราหาจุดสมดุลได้ เราจะไม่รู้สึกอึดอัด

ไม่ตัดสินคนจากปก

“เห็นคนแค่รูปลักษณ์ข้างนอก อย่าตัดสินคนจากปก”

อย่าเพิ่งไปคิดไกล ว่าเขาเป็นคนแบบนั้น แบบนี้ แบบนู้น เราไม่ควรจะตัดสินใคร ตีความเหมารวมใคร จากภาพทั้งตาที่เราเห็น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าเราเจอใครครั้งแรก บางทีมันห้ามความคิด ห้ามสมองไม่ทัน แต่สมมุติถ้าเรารู้ทันตัวเองว่าคิดไปแล้ว แล้วหยุดมันได้ ลองทำความรู้จักเขาก่อน มันก็จะเห็นในแง่มุมที่มากขึ้น เพราะว่าบุคลิกภาพมันไม่ใช่แค่เปลือก แค่หุ้มคนหนึ่งคนด้วยเสื้อผ้า เดินดูดี คนนี้บุคลิกดี มันไม่ใช่ เพราะพฤติกรรมของคน มันมาหมดเลยนะ สีหน้า แววตา น้ำเสียง มือ มันออกจากทุกจุด สมมุติว่าถ้าเราเศร้า มีความทุกข์ในใจ พฤติกรรมหรือน้ำเสียง สีหน้าแววตาที่เราแสดงออก มันออกทางตา ออกทางเสียงได้หมดเลย คือมันส่งผลหมด บุคลิกก็เหมือนกัน ดังนั้น การไม่ให้ตัดสินคนจากภายนอก มันไม่ควรทำเพราะว่าเราไม่รู้จักใครดีพอ เราไม่รู้ว่าที่เขาทำแบบนี้ในทุกวันนี้ หรือที่เขาแสดงออกแบบนี้เขาผ่านอะไรมาบ้าง เขามีเหตุและปัจจัยอะไรบ้าง ที่ทำให้เขาเป็นเขาในทุกวันนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันก็มีคนที่จะตัดสินเราจากภาพภายนอก เราแก้ไม่ได้ เราจะบอกให้ว่า หยุด! อย่าเพิ่ง เห็นฉันวันนี้ จริงๆ ไม่ใช่ฉันนะ จริงๆ ดูน่าเชื่อถือกว่านี้ ฉันแต่งตัวดีกว่านี้ มันพูดไม่ทัน มันห้ามไม่ได้ ถ้าใจเราคิดไปแล้ว หัวสมองมันเร็วไปแล้ว ก็ไม่เป็นไร เราต้องหยุดมัน แล้วก็ต้องดูเขาต่อไปอีกว่าที่เขาเป็นเขาทุกวันนี้ มันมาจากอะไรบ้าง

บุคลิกดีต้องใช้ของแพงไหม

ไม่ต้อง เพราะว่ามันก็มีข้อพิสูจน์ บางทีแพงมันทั้งตัว แต่ประกอบกันไม่ลงตัว ก็ไม่ทำให้ภาพมันดูดี ไม่เกี่ยวว่าของจะถูกจะแพงอยู่บนตัวเรา เราจะทำให้เราดูดีหรือเปล่า พี่ว่ามันขึ้นอยู่กับการให้คุณค่ากับของสิ่งนั้นมากกว่า เราจะดูดีได้ ไม่มีความจำเป็นต้องเอาแบรนด์เนมมาโปะบนตัว เพื่อทำให้ดูดี หรือทำให้คนยอมรับ มันเป็นการสร้างการยอมรับที่อาจจะแค่ฉาบฉวยระยะสั้น พอไปต่อภาพอื่นที่ไม่ใช่แค่ภาพการแต่งตัวแล้ว เราเริ่มพูดละ เราเริ่มแสดงความคิดเห็น เขาเริ่มเห็นท่าทางของเรา อาจจะมีส่วนอื่นที่เขาไม่รู้สึกดีกับเราต่อก็ได้ แบบนี้แบรนเนมช่วยไม่ได้แล้ว เราเลือกสิ่งที่คุ้มค่าเหมาะกับตัวเราดีกว่า คำว่าคุ้มค่าในที่นี้ สำหรับเราอาจจะมองว่าสมราคา สำหรับบางคนอาจจะมองว่าแพงเกินไป อันนี้คือแล้วแต่คนจะมอง เราควรจะเลือกสิ่งที่มันคุ้มค่าและเหมาะสมกับตัวเรา

ความสะอาดมีผลต่อบุคลิกภาพ

มีความสะอาดกับบุคลิกภาพมีผลคู่กัน คือความสะอาดก็จะเป็นเรื่องของเวลาเรียนเรื่องภาพลักษณ์เรื่องการแต่งตัว เขาก็จะพูดถึงความสะอาด เราอาจจะรู้สึกว่าการแต่งตัวดีเสื้อผ้าดี แต่งหน้าทุกอย่างพร้อมหมด แต่ไม่สระผม ผมเรามันมาก หรือว่ามีเล็บขบที่เท้าแล้วเราใส่รองเท้าเปิด มันเหมือนเราสวยไม่จบ ดังนั้นการรักษาความสะอาด มันมีผลต่อความรู้สึกของคน เพราะคนทุกคนก็คงไม่อยากอยู่ใกล้สิ่งที่อาจจะเห็นภาพทางตาแล้วมีความกังวลใจ ทุกคนก็อยากเห็นภาพที่สะอาดสะอ้านสวยงาม 

ความสะอาดมันเป็นหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้ภาพภายนอกที่เราควรเห็นแล้วรู้สึกสบายอกสบายใจที่จะคุยด้วย ไม่มีอะไรที่ทำให้ตาเราวอกแวก ความสะอาดเป็นหนึ่งองค์ประกอบเล็กๆ ไม่ถึงขนาดทำให้เราเสียบุคลิก แต่อาจจะทำให้เราเสียความน่าเชื่อถือ เป็นหนึ่งองค์ประกอบที่ไม่ควรมองข้าม

‘ไม่ให้ความสำคัญกับคนตรงหน้า’

ต้องรู้จักฝึกเก็บมือไม่ให้ยุ่งกับมือถือเยอะ ยอมกล้าพูดกับคน คุยแล้วมันจะเป็นยังไง ปะทะกันไหม ต้องฝึกให้พูดเยอะๆ

ถามคำถามชวนคุย

สมมุติว่าเราต้องไปร้านอาหารด้วยกัน เรารู้ว่าร้านอาหารอยู่ที่นี้ ต่างคนต่างเดินทางมา ก็จะถามว่า เดินทางมาสะดวกมั้ยคะ รถติดไหม พอนั่งลงก็จะชวนคุยว่า ร้านนี้เคยมาไหม ชอบทานอาหารอะไรเป็นพิเศษ ทานเนื้อหรือเปล่าหรือว่าทานแต่ปลา  เป็นการคุยเรื่องทั่วๆ ไป ถ้าเป็นเพื่อนในวัยใกล้ๆ กัน ก็อาจจะถามว่าเรียนจบมหาวิทยาลัยอะไรมา เรียนคณะอะไร คณะนี้เป็นยังไง มีเลือกเอก เลือกโทเป็นยังไงบ้าง มันเป็นชุดคำถามง่ายๆ แต่ว่าเวลาเราพูดเรื่องนี้ เราจะรู้สึกว่าการถามคำถามง่ายๆ มันเป็นข้อน่ากังวล กลัวว่ามันดูง่ายไป จะถามทำไมคำถามพวกนี้ แต่คำถามพวกนี้มันเป็นการสร้างบรรรยากาศ เราคงไม่ถามเรื่องจริงจังที่จะเห็นความแตกต่างของความคิดเห็น ถามถึงดิน ฟ้า อากาศ ฝนตกหนักไหม ระหว่างที่เราขับรถมาฝนตกหนักมากเลย นึกว่าน้ำจะท่วมแล้ว รถติดสุดๆ เลย ร้านนี้เคยมานะ เคยมาหรือเปล่า ชอบทานอะไรเป็นพิเศษ พออาหารมาแล้วก็อาจจะชวนกันคุยว่า อาหารอร่อยไหม ถูกปากไหม เป็นคนชอบ ทานเค็มหรือทานหวาน ทานรสเปรี้ยว เหมือนเป็นการสร้างบรรยากาศในการคุยให้มันรู้สึกสบายใจที่จะอยู่ด้วยกัน

เรื่องที่เราจะไม่ถาม

เรื่องครอบครัว เราจะไม่ถามเขาว่าแต่งงานหรือยัง อายุเท่าไหร่ มีลูกกี่คน ที่บ้านอยู่กับใครบ้าง ขับรถอะไร อันนี้เราจะไม่ถาม เพราะเรารู้สึกว่ามันล้ำพื้นที่ส่วนตัวเขาเกินไป

ทำยังไงให้ผู้ใหญ่เอ็นดู?

ง่ายสุดเลยนะ ไหว้ก่อน พี่รู้สึกว่าผู้ใหญ่เขาก็จะรู้สึกดีเวลาเด็กตั้งใจไหว้ เราก็ตั้งใจไหว้ ทำความเคารพ แล้วก็ยิ้ม แล้วก็แนะนำตัวว่า ชื่ออะไร เพิ่งมาทำงานที่นี่เป็นวันแรก ทำงานอยู่แผนกไหน แล้วก็จบ เดี๋ยวผู้ใหญ่เขาก็จะยิงคำถามกลับมา ถ้าเขาไม่ถามก็ไม่เป็นไร เราถือว่าเราแนะนำตัวแล้วเราก็ยิ้ม เราก็ขอตัวนะคะ แล้วก็ไปทำงาน สำคัญที่สุดของผู้ใหญ่ก็คือความนอบน้อมของเด็กแหละ

บุคลิกภาพที่ดีจำเป็นต้องสวยไหม

ไม่เกี่ยว ไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น 100% เพราะว่าเราติดกับการเห็นภาพคนสวยคนหล่อที่มันเป็นภาพถ่ายในโลก Entertainment โลกของดารา แล้วเรารู้สึกว่าคนนี้ดูดีจังเลย คนนี้ดูหล่อจังเลย แต่ภาพมันถูกเซทแล้ว มันมีคนแต่งตัวให้ มีคนจับโพสท่า ถ่ายรูปให้ทุกอย่าง ถูกเซทเป็นภาพที่เบ็ดเสร็จแล้ว ไม่ใช่ภาพเขาก่อนหน้านั้นที่ยังไม่แต่งหน้าทำผมเลย ซึ่งทุนชีวิตแต่ละคนไม่เท่ากัน ไม่ควรเอามาเปรียบเทียบกันว่าฉันไม่สวยเธอสวย ดังนั้นเธอจะดีกว่า ไม่ได้ เราก็เป็นเรา เขาก็เป็นเขา แค่ต่างคนต่างเป็น มีเยอะนะที่คนหน้าตาดีทุนชีวิตพื้นฐานดี และบุคลิกไม่ดี

มีบุคลิกดีขึ้นอยู่กับ

  1. เห็นทางตา การแต่งตัว เสื้อผ้าสื่อสารตัวเรา
  2. ภาษาทางท่า ท่าทางในการเดิน ยืน นั่ง การใช้มือ การใช้ภาษากายทั้งหมด
  3. หูที่ได้ยิน น้ำเสียง จังหวะการพูด พูดดัง พูดเบา คำพูดที่เราเลือกใช้

พูดคำหยาบ จริงใจ เป็นตัวของตัวเองจริงไหม?

ความจริงใจแสดงออกได้หลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงในการใช้คำพูด หรือใช้น้ำเสียงที่รุนแรง เราก็สามารถแสดงออกถึงความคิดเห็นของเรา ถึงความจริงใจของเราได้ คำหยาบด้วยรูปแบบของคำ มันเป็นเรื่องของการเลือกใช้คำพูด มันไม่เป็นเรื่องของความจริงใจ เจตนาคงจริงใจแหละ แต่ไปเลือกใช้ชุดคำพูดที่มันอาจจะไปกระทบใจคนอื่น แบบนี้มันก็อาจจะมีผล อาจจะไม่ต้องไปถึงคำหยาบก็ได้ เพราะถ้าชุดคำพูดที่เราใช้ แล้วมันไปกระทบใจคนที่เรากำลังพูดด้วย คนนั้นก็จะไม่รับเจตนาว่าเราจริงใจ เขาจะรู้สึกไม่ดีกับคำพูดที่เราเลือกใช้ ถ้าเราอยากแสดงออกถึงความจริงใจ เราสามารถเลือกแสดงออกด้วยการเลือกใช้คำพูดที่มันเหมาะสม ไม่ไปกระทบกระเทือนจิตใจคนที่กำลังคุยด้วย ใช้น้ำเสียง หรือใช้วิธีการพูดที่เหมาะสม มันจะช่วยทำให้เกิดการรับฟังกันได้ง่ายขึ้นมากกว่า การเลือกใช้ชุดคำที่อาจจะค่อนข้างกระทบกระเทือนใจ มันมีความเป็นไปได้ที่อีกฝั่งจะปิดประตูใจ ไม่ฟังเราต่อ คราวนี้ไม่ไปดูเจตนาไม่ดูอะไรแล้ว หูอื้อแล้ว คุยกันไม่รู้เรื่อง ความสัมพันธ์ก็เสีย เรื่องที่จะคุยกันก็ไม่ไปต่อ ดังนั้นเราเลือกรูปแบบของการแสดงความจริงใจ ในการเลือกใช้คำแบบอื่น พี่ว่ามันทำให้การคุยกันลื่นไหนกว่า

‘เปลี่ยนคนอื่นมันยาก’

ในความเป็นจริง ชีวิตเราต้องยอมรับว่าการจะเปลี่ยนแปลงคนอื่น เปลี่ยนปัจจัยภายนอกมันยาก ดังนั้นเราเปลี่ยนตัวเราง่ายกว่า เพราะตัวเราอยู่กับตัวเรา คุยกับตัวเรา  เราเข้าใจตัวเรา เราเปลี่ยนได้เร็วกว่า ง่ายกว่า ถ้าเปลี่ยนตัวเรา แล้วเราเปลี่ยน เกิดตัวอย่างที่ดี เราก็สามารถใช้ตัวเราไปบอกเขาได้ ว่าทำไมเขาถึงต้องเปลี่ยน เราทำแล้วมันดียังไง ดังนั้นมันถึงต้องเริ่มต้นจากตัวเรา เหมือน ผู้บริหาร ที่มองว่าต้องเป็นต้นแบบของคนในองค์กร ถ้าเราอยากบอกให้คนในทีมเปลี่ยนบุคลิก ปรับเสื้อผ้า เปลี่ยนนู่น เปลี่ยนนี่ สุดท้ายต้องเริ่มต้นจากเรา ถ้าเราไม่ทำในสิ่งที่เราบอกเขาเลย เขาจะเชื่อเราหรอ? มองไปก็ อ้าว นี่ก็ยังไม่ทำ อันนั้นก็ยังไม่เห็นทำ ขนาดเราบอกให้ตัวเราเปลี่ยนยังยากเลย ดังนั้นการบอกคนอื่น ยิ่งยากขึ้นไปใหญ่ ถ้าเราเริ่มจากเราได้ ทำแล้วมันเห็นผลดี มันมีน้ำหนักพอ ที่เราจะไปโน้มน้าวคนอื่นให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

สุดท้ายนี้บุคลิกภาพเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ เราจะรู้สึกว่างั้นถ้าบุคลิกไม่ดีแปลว่าฐานไม่ดี ฐานไม่ดีจะไม่ประสบความสำเร็จหรือเปล่า บุคลิกภาพที่ดีในแบบของเรานะ ที่พี่พยายามจะเน้นในแบบของเรา คือมันไม่มีไม้บรรทัดมาวัดตรงกลางว่า อันนี้คือบุคลิกภาพที่ดีและทุกคนจะต้องเดินมาเจอในแบบเดียวกัน วัดออกมาแล้วตรงเท่ากันอย่างนี้มันไม่มี ดังนั้นมันเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในเป้าหมายที่เราวางไว้ ร่วมกับส่วนอื่นๆ ร่วมกับความรู้ การพัฒนาตัวเองด้านอื่น หรือแม้กระทั่งความสามารถที่เรามีอยู่ รวมกันแล้วมันทำให้พาเรา เหมือนเป็นก้อนกลมๆ กลิ้งไปสู่ความสำเร็จได้เร็วขึ้

วันที่:
11 มกราคม 2564
Writers:
ปัญฑารีย์ ขันชะลีย์ดำรงกุล
 

ร่วมสนับสนุนโครงการเกลา 🥺 ให้อยู่คู่สังคมไทยได้อย่างยั่งยืน

กด Subscribe 👉🏻 https://bit.ly/3u5JvVI เพื่อเป็นกำลังใจและสนับสนุนคลิปใหม่ๆ 🔔 กดกระดิ่งแจ้งเตือนคลิปใหม่ๆ ส่งตรงถึงคุณให้ได้รับชมก่อนใคร ติดตาม เกลา นิสัยอันตราย ในโซเชียลอื่นๆ ได้ตามนี้เลยค่ะ
📞 โฆษณาหรือสปอนเซอร์
partner@klao.show
084-645-9656
⭐️ อินฟูเอนเซอร์
info@klao365.org
084-645-9656
🛍️ สั่งซื้อสินค้า
🎁 สนับสนุนโครงการ
💧ธนาคารกรุงไทย 6780224332
ชื่อบัญชี โครงการเกลานิสัยอันตราย โดย น.ส.ปนัดดา ตะโยเค และน.ส.ณัฐณิชา อัศดาสุข
©2017-2021 klao365.org All Rights Reserved.

ติดต่องานโฆษณาหรือสปอนเซอร์เกลา

084-645-9656
sales@klao365.org