บ้านเป็นสังคมแรกที่เราเรียนรู้ ...เรียกได้ว่าที่บ้านเป็นยังไง ส่วนใหญ่เราก็จะเป็นแบบนั้น เหมือนที่ใครหลายๆคนกล่าวไว้ว่าลักษณะบ้านของเรามันบ่งบอกนิสัย หรือนิสัยของเรามันบ่งบอกตัวบ้าน
บ้านที่ดีนั้นไม่มีรูปแบบตายตัว รูปแบบมันปรับเปลี่ยนไปตามบุคลิกภาพ ฐานะ ความชอบ ความเหมาะสมของแต่ละคน แต่ที่สำคัญบ้านต้องเป็นสถานที่ที่สามารถบำรุงจิตใจ และสุขภาพของเรา
กลับมาบ้านที่แสนคุ้นเคยแล้ว อย่าลืมกลับบ้านที่อยู่ข้างในด้วย...
สภาพแวดล้อมที่แสนคุ้นเคยอย่างบ้านช่วยให้เรารู้สึกสบายใจขึ้นแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การที่จะหายเศร้าได้จริง ๆ หรือเปล่า เราต้องเข้าไปดูในใจ...
อารมณ์เป็นสิ่งที่รวดเร็วรุนแรง ถ้าเราไม่รู้จักควบคุมมัน รู้ทันมัน เข้าใจมัน มันอาจจะทำร้ายตัวเราหรือคนรอบตัวโดยที่เราไม่ทันได้รู้ตัว เพราะฉะนั้น นอกจากการกลับบ้านแล้ว การฝึกสมาธิเพื่อช่วยให้จิตใจสงบก็เป็นตัวช่วยที่ดีในการทำให้เราเข้าใจและรู้ทันอารมณ์มากขึ้น
ถ้ารู้สึกว่าการฝึกสมาธิไม่พอ โน้ตใบน้อยที่คอยแปะตามบ้านหลังใหญ่อาจช่วยคุณได้... บางครั้งเราก็ไม่อาจเตือนตัวเองได้ทุกวินาที การเขียนโน้ตแปะเอาไว้ตามผนังก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่พี่ก๊อตใช้ เพื่อช่วยเตือนตัวเองให้ตระหนักเสมอ ว่ากำลังทำอะไร เพื่อที่จะได้พัฒนาตัวเองในทางที่เหมาะสมไม่หลงทาง และตระหนักว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่น
การทำอะไรเพื่อสักอย่างนึงที่เรารัก เราจะไม่เคยมีวันที่สงสัยว่าทำทำไม... เหมือนที่เรารักบ้าน รักพ่อ รักแม่ รักตัวเอง ...เราดูแลสิ่งเหล่านี้โดยไม่เคยคิดว่ามันเป็นภาระ...
“เพราะเรารัก เราเลยอยากทำ” - ก๊อต จิรายุ
บ้านอันแสนอบอุ่นที่แสนสบายใจ เป็นสถานที่แสนสำคัญจึงอยากให้มันดูดี ดูร่มรื่น จึงคอยทำมันให้สะอาด หาต้นไม้มาปลูกให้มันร่มรื่น ...เพราะเรารู้สึกว่าสิ่งที่กำลังทำมันมีคุณค่า เราจึงคอยทำมันอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือเคล็ดลับของการมีวินัย “การเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ”
งานมันทำเงิน เราเลยต้องมีวินัยทำงาน พ่อแม่เรารัก เราเลยต้องมีวินัยคอยดูแล อยากประสบความสำเร็จก็ต้องมีวินัยก็จริง
แต่บางครั้ง...กลางทางก็มีความรู้สึกว่ามันมี “อุปสรรค” ขวางกั้นอยู่ ชวนให้รู้สึกท้อ รู้สึกเหนื่อย จนอยากจะออกนอกลู่นอกทางเพื่อหนี ๆ ความเหนื่อยเหล่านี้บ้าง
ซึ่งมันเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกแบบนั้น ทุกคนล้วนมีความรู้สึกแบบนั้นต่อให้เป็นคนที่มีวินัยและขยันและเก่งที่สุดในโลกก็มีความรู้สึกแบบนี้ มันไม่หายไปไหน แต่เราสามารถทำให้มันน้อยลง ลดลงได้ เพื่อที่เราจะได้ไม่เสียเวลาจมปลักอยู่กันมันมากนัก
ไม่ว่าจะหากำลังใจจากคนที่มีประสบการณ์... หาพลังงานบวกจากหนังสือ... หรือบางครั้งเราก็แค่อาจจะเหนื่อยกาย พักสักหน่อย นอนสักนิด กินอาหารให้ครบ แค่นี้เราก็จะสามารถลดความเหนื่อยความท้อได้บ้างแล้ว เพราะจริง ๆ แล้วธรรมชาติของความสำเร็จมันเป็นแบบนี้แหละ ท้อบ้าง อยากหยุดบ้าง อยากเสียเวลากับเรื่องไร้สาระเพื่อให้หายเหนื่อย(แต่ถ้าดีก็อย่าเสียกับมันเยอะ) ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่เดี๋ยวมันก็ดับไป มันคือธรรมชาติของความรู้สึก เราแค่คอยควบคุมไม่ให้มันเลยเถิด และพยายามทำต่อไป จนวันนึงเราเก่งพอที่จะก้าวข้ามมัน วันนั้นอุปสรรคที่เหมือนหน้าผา ก็จะกลายเป็นแค่เนินเล็ก ๆ ที่เราก้าวข้ามไปแล้ว
“ถ้าเราอยากและตั้งใจที่จะทำมันจริง ๆ วันนึง...โลกจะนำพาสิ่งนั้นมาให้เราเอง”
ทำไมเราไม่เกลาตัวเองก่อนที่จะเกลาคนอื่น?