“...ห้องนี้เอาไว้บำรุงจิต บำรุงร่างกาย”
บ้าน...บ่งบอกนิสัย บ่งบอกว่าเราใส่ใจเรื่องอะไรบ้าง เช่น ถ้าบ้านเรียบร้อยแสดงว่าเราเป็นคนเรียบร้อย ถ้าบ้านเรารกแสดงว่าเราเป็นคนไม่ค่อยเป็นระเบียบเท่าไหร่ ...แต่ในทางกลับกัน นิสัยที่ดีก็เริ่มจากที่บ้านได้เหมือน...
“บ้านที่ดี คือบ้านที่บำรุงสุขภาพกายและสุขภาพจิต” – ก๊อต จิรายุ
อย่างพี่ก๊อตก็ใช้โน้ตแปะไว้ทั่วบ้าน เพื่อสร้างให้บ้านเต็มไปด้วยข้อความที่คอยเตือนตัวเองตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำงาน หรือคำพูดจากคนที่เคยมีประสบการณ์ คนที่เคยสำเร็จมาก่อน... เพื่อคอยสร้างกำลังใจในเวลาที่รู้สึกแย่ หรือคิดลบ
ศิลปะไม่ต้องการพื้นที่... เพราะศิลปะสามารถเกิดได้ทุกที่
มีคำถามว่าอยากสร้างสรรค์ศิลปะแบบพี่ก๊อตแต่ไม่มีพื้นที่ทำยังไง?
“ถ้าคนมันต้องการที่จะสร้างสรรค์จริง ๆ ...ต่อให้เป็นกล่องไม้ขีดก็วาดได้” ...พี่ก๊อตตอบ
อาจจะเพราะเรา “ยึดติด” กับภาพลักษณ์ว่าศิลปะต้องมีทุน ต้องเป็นการวาด ต้องใช้เฟรมผ้าใบ ...ทั้ง ๆ ที่ศิลปะมันยืดหยุ่นกว่านั้น... เราสามารถสร้างงานศิลปะที่ไหนก็ได้จากอะไรก็ได้ ติด แปะ ตัด ...
...อย่าสร้างเงื่อนไขให้ตัวเอง
...แล้วพี่ก๊อตก็ยกตัวอย่างรูปด้านหลังให้ดูแล้วก็พูดทำนองว่า จริง ๆ แล้วศิลปะไม่จำเป็นต้องมีความหมายแต่ด้วยความเป็นมนุษย์ที่ต้องการความเข้าใจ ความชัดเจน... อย่างเช่นรูปข้างหลังถ้าจะให้เปรียบก็คือ “ความสมดุล”
“ความสมดุล จะสมดุลได้ต้องเข้าใจว่าในตัวมีความรู้สึกที่ทั้งลบและบวก” - พี่ก๊อต กับภาพวาด
ลบไม่เที่ยง บวกเองก็ไม่เที่ยง... เมื่อเรารู้ว่ามันไม่เที่ยงเราก็จะไม่เอนไปทางใดทางนึง เมื่อมีความสุขก็จะสุขไม่มาก เวลาทุกข์ก็จะทุกข์ไม่มากเช่นกัน เพราะรู้ว่าเดี๋ยวมันก็จากไป
...มันเป็นธรรมชาติของจิตใจ
บ้านที่ควรกลับมากที่สุดคือ “จิตใจ” ...พี่ก๊อตพูด
กลับมาทำความเข้าใจตัวเองมาก ๆ ความเข้าใจตัวเองนี่แหละ สำคัญที่สุด ที่คนเรามักจะลืมไป ปล่อยให้จิตใจฟุ้งซ่านจนสุดท้าย ไม่สามารถสงบลงได้ จนวิตกบ้าง นอนไม่หลับบ้าง... อย่างพี่ก๊อตก็ใช้การนั่งสมาธิก็เป็นตัวช่วยให้สงบขึ้น สงบพอที่จะมีสติทำความเข้าใจตัวเอง
“เพราะรักฉันจึงทำ (งาน)”
วินัยมาจากการที่เราเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ...พี่ก๊อตพูด ถ้าเรารัก เราเห็นคุณค่ามัน เราจะพยายามทำโดยที่ไม่เคยคิดว่าเป็นภาระเลย แถมจะทำจนกว่ามันจะสำเร็จด้วยซ้ำ เหมือนเราอยากกินข้าวหน้าเป็ด ...ข้าวหน้าเป็ดสุดอร่อย มันต้องกิน ต่อให้เรานอนแล้วตื่นขึ้นเราก็ยังอยากกินแล้วก็จะไปกินให้ได้ต่อให้รถติดก็จะฝ่าฟัน หาทางลัดที่เร็วที่สุดด้วย
....แต่บางครั้งมันก็ “เหนื่อย” เลย “หยุด”
เป็นปกติที่เราเหนื่อย อุปสรรคมันใหญ่เหลือเกิน จนอยากหนีไปทำอย่างอื่นสบาย ๆ แม้กระทั่งพี่ก๊อตก็มีบ้างที่ไม่มีวินัย เพราะชีวิตเราก็เหมือนแบตเตอรี่ มีวันหมดพลังงาน ดังนั้นหน้าที่ของเราก็คือหาพลังงานบวกมาเติมให้มัน ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ กินให้อิ่มนอนให้หลับ คำแนะนำจากคนที่มีประสบการณ์ก็ได้
...อุปสรรคมีไว้เพื่อก้าวข้าม เพื่อให้เติบโตขึ้น
“ห้องแห่งการพัฒนาตนเองจากภายในสู่ภายนอก”
เป็นห้องที่พี่ก๊อตใช้สำหรับอ่านหนังสือ เก็บหนังสือ เขียนหนังสือ และเรียนรู้... ด้วยความเป็นนักแสดง ทำให้พี่ก๊อตต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์รอบด้าน (รวมถึงตัวเองด้วย) เพราะนักแสดงไม่ได้แสดง “เป็นตัวเอง”
“อย่ารู้ลึกแต่โง่กว้าง” - อ. วรภัทร ภู่เจริญ
ส่วนใหญ่พี่ก๊อตก็จะเลือกอ่านแนวปรัชญา ศาสนา (ทุกศาสนา) บางครั้งอ่านหนังสือที่คล้าย ๆ กันอีกด้วย เพื่อเรียนรู้ในหลาย ๆ มุมมอง เพราะยิ่งรู้มาก หลากหลายมุม ก็ยิ่งเหมือนมีวัตถุดิบมาก ทำให้สามารถพลิกแพลงเลือกใช้ได้หลากหลาย หรือปรับจนได้แบบใหม่ที่สร้างสรรค์กว่า
...สำหรับคนที่ “ซื้อมาแล้วอ่านไม่จบ” และ “อ่านแล้วลืม”
ให้มองว่าหนังสือเป็นคน ๆ นึงที่ต้อง “อยู่” ด้วย... พี่ก๊อตเน้นย้ำคำว่า “อยู่”
ตอนเราซื้อเราอาจจะซื้อเพราะอารมณ์ แต่เราไม่ได้เสียเงินไปกับอะไรแย่ ๆ นี่? ลองอ่านให้จบสักครั้ง พยายามเข้าใจมันให้มากที่สุดเพื่อให้เราได้ประโยชน์สูงสุด...ถ้าอ่านรวดเดียวไม่จบ ก็อาจจะใช้วิธีแบบพี่ก๊อต เช่น อ่านครั้งละ 15 นาที จะได้รู้สึกว่ามีจุดจบ และไม่กดดันมากไป... ส่วนคนที่ลืม ก็จด อย่างพี่ก๊อตก็จดสรุปหนังสือใหม่ทุกปีเพื่อที่จะเข้าใจและจดจำได้หมด
พี่ก๊อตบอกว่าเขียนมี 2 อย่าง.... คือเขียนเพื่อตัวเอง หรือเขียนเพื่อคนคนอื่น ...ก่อนที่จะเขียนให้เราชัดเจนก่อนว่าเขียนเพื่อใคร?
ถ้าเขียนเพื่อตัวเอง เขียนยังไงก็ได้เข้าใจอยู่คนเดียว... แต่ถ้าเราต้องการที่จะเขียนเพื่อคนอื่น แค่เราเข้าใจไม่พอ... เราต้องดูว่าสิ่งที่จะเขียนมีประโยชน์ต่อเขาไหม.. เพื่อที่จะสื่อออกไปให้ถูกต้อง หนังสือก็ต้องอ่านให้มาก ...
หลักการเขียนของพี่ก๊อต
ไม่จริง ไม่รู้จริงไม่เขียน... ไม่จำเป็นไม่บอก... ไม่เมตตาไม่ปล่อยออกไป...
ระบายความรู้สึกคือการระบายความรู้ ไม่สนใจว่าใครรู้สึกยังไงฉันแค่อยากพูด ถ้าฉันรู้สึกว่ามันแย่ ก็จะพูดว่าแย่ ในขณะที่ความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ คือแย่เพราะทำไม ไม่ได้ตอบเพราะอารมณ์แต่อยากช่วยให้เขาพัฒนาขึ้น...
คอมเมนต์แย่ ๆ ที่มาจากความรู้สึก...ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากสร้างความรู้สึกแย่ ๆ
ดังนั้นการเขียนอะไร ถ้าไม่เมตตาไม่ต้องปล่อยออกไป...
....นอกจากอ่านหนังสือและเขียนหนังสือแล้วพี่ก๊อตก็ยังมีการวางแผนการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย
ที่สำคัญ ...ชัดเจนในสิ่งที่ต้องการ เพราะ “ความอยาก” คือพลังงานอันมหาศาลแสนสำคัญส่วนนึงที่จะทำให้คนเราบรรลุเป้าหมาย เก็บเงินก็เช่นกัน...
ถ้าเราต้องการที่จะเก็บเงินจริง ๆ เราจะไม่คิดว่า “มีเงินมากค่อยเก็บ” แต่เราจะคิดว่า “มีเงินน้อยเก็บยังไงให้เยอะ”
...ถ้าเรา “อยากที่จะเก็บ” ....อย่างพี่ก๊อตก็ใช้วิธีแบ่งบัญชีตามจุดประสงค์ ออกเป็น 6 ส่วน คือ ยามจำเป็น(ค่าพยาบาล), ลงทุน, ออมระยะยาว, การศึกษา, ใช้ส่วนตัว ,ทำบุญ...
การแบ่งบัญชีตามจุดประสงค์จะช่วยให้เราเก็นการเคลื่อนไหวของเงินเข้าออกที่ชัดเจนขึ้น ทำให้เราสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ตรงจุด ดีกว่าออมเงินเป็นก้อนเดียวเวลาใช้ไปก็ไม่รู้ว่าเราเสียเงินไปกับส่วนไหนเป็นพิเศษ...
“และมนุษย์จะมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อมีทุน”
ดังนั้นคนที่ทำงานจงฟังทางนี้
กลายเป็นว่า.... งาน = เงิน
“ไม่ได้ทำงานที่รัก...แต่เงินดี”
กว่าพี่จะได้ทำให้สิ่งที่ตัวเองรักก็ผ่านอะไรที่ไม่ชอบมาเยอะเหมือนกัน...พี่ก๊อตพูด ....แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่ทำให้ดีกว่า เช่น ต้องหาเงินลงทุนถึงจะได้ทำในสิ่งที่รัก ก็เป็นอะไรที่คุ้มค่า
และที่สำคัญอย่าทำชุ่ย ๆ ...
ถึงแม้จะไม่ชอบ... แต่งานทุกงานก็มีคุณค่าในตัวของมัน เป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาตัวเรา ทำให้มันเป็นงานที่เราภูมิใจในความอุตสาหะของเรา...
“ห้องที่มีมุมนั่งสมาธิ เคลียร์จิต”
จะไม่ยอมนอนพร้อมจิตที่ฟุ้งซ่าน จะนอนด้วยจิตที่มีสมาธิเท่านั้น.. พี่ก๊อตตั้งมั่นแบบนี้ไว้ทุกวัน 40 นาที ก็จะปิดเครื่องก่อนนอน นั่งสมาธิเพื่อทำให้สงบ และทบทวนตัวเอง ไม่ก็อ่านหนังสือก่อนนอน หรืออ่านแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้นเลย เพื่อที่จะได้หลับทั้ง ๆ ที่จดจ่อกับอย่างใดอย่างนึง แทนที่หลับแบบฟุ้งซ่านและสุดท้ายก็นอนไม่หลับ
สมาธิ ≠ ศาสนา
สมาธิเป็นเรื่องของการเข้าใจธรรมชาติ..และเป็นของสากล ไม่ใช่เรื่องศาสนาที่สร้างปาฏิหารย์แต่อย่างใด สมาธิเป็นเรื่องของการเข้าใจธรรมชาติของตัวเอง (แต่ต้องยอมรับยอมเปิดใจว่าตัวเองเป็นยังไงด้วยนะ)
“เคยเป็นมั้ย? บรรลุเป้าหมายแต่ไม่มีความสุข”
พี่ก๊อตเล่าว่าเคยมีความรู้สึกนี้ตอนซื้อบ้าน... ได้มาแล้วนะ แต่ทำไมไม่รู้สึกอิ่มเอมเลย ยังคงรู้สึกขาด ๆ จนวิตกกังวล... นั่นเป็นเพราะว่าเราล่องลอยอยู่ใน “ความฟุ้งซ่าน”
อดีตก็ปล่อยไม่ได้ อนาคตก็ก็ระแวง...ตบตีกันจนฟุ้งซ่านไปหมด
นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมการนั่งสมาธิถึงช่วยได้... การกำหนดลมหายใจเพื่ออยู่กับปัจจุบันจริง ๆ แทนที่จะคิดถึงสิ่งอื่นที่ยังไม่ได้มีตัวตนหรือผ่านไปแล้ว ...ทำให้เกิดความสงบ...เมื่อทำบ่อย ๆ ก็จะกลายเป็นการฝึกฝนให้เรารู้ทันใจตัวเองเพื่อสามารถที่จะจัดการตัวเองให้พัฒนาไปได้อย่างเหมาะสม เมื่อเราจัดการทุกอย่างให้มันผ่านไปด้วยดี ด้วยความสงบ มันจะมาเอง
...ดังนั้น สมาธิ ไม่ได้ทำให้เกิดความสุข แต่ สมาธิให้ความสงบที่เป็นบ่อเกิดแห่งความสุข
จริง ๆ แล้วทุกคนก็ไม่ได้สามารถนั่งนาน ๆ กันได้หรอก พี่ก๊อตเองก็เช่นกัน... แต่เราสามารถ “ฝึก” กันได้
อาจจะพาตัวเองไปที่ ๆ สงบอย่างบ้าน หรือนั่งสมาธิกลุ่มก็ได้ เพราะการที่มีคนตั้งใจมานั่งข้าง ๆ จะช่วยให้เรารู้สึกมีกำลังใจในการทำมากขึ้น และในตอนแรก ๆ อาจจะไม่เห็นผลอะไรนอกจากง่วงนอน น่าเบื่อ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเราจะเริ่มมีสมาธิที่ยาวขึ้นเอง เพราะการฝึกฝน
ชีวิตที่ดี...เริ่มได้ที่ตัว (บ้าน) เรา
“เมื่อผัดวันประกันพรุ่งกับเรื่องเล็ก ๆ ได้เรื่องใหญ่ก็ทำได้”
ชีวิตเป็นอะไรที่ประกอบจากสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว นั่นรวมถึงนิสัยเล็ก ๆ ที่เรามีในบ้านด้วย เข่น บางคนชอบกองจานทิ้งไว้ไม่ยอมล้าง มันก็คือการบ่มเพาะนิสัยผัดวันประกันพรุ่งดี ๆ นี่เอง อย่างที่บอกไปในตอนต้น บ้าน...บ่งบอกนิสัย บ่งบอกว่าเราใส่ใจเรื่องอะไรบ้าง...แต่ในทางกลับกัน นิสัยที่ดีก็เริ่มจากที่บ้านได้เหมือน...
“อยากได้” ชีวิตดี ๆ เริ่มที่ตัวเรา
พี่ก๊อตบอกว่าพี่ก๊อตเชื่อ... ว่าทุกคนดูแลตัวเองให้ดีขึ้นได้ถ้าตั้งใจ
...เกลาตัวเองสามารถเริ่มได้แล้ว...ที่ “บ้าน” เรานี่แหละ