สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นผู้บริหารในวัย 27 ปี คุณเบอร์ดี้ บดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ CEO บริษัท Real Asset Development แล้วยังเป็น Developer สร้างคอนโด สร้างบ้าน เป็นหลักอีกด้วย
ความสุขมันคือแรงที่เราใส่เข้าไป แล้วเราเห็นผลลัพธ์ที่ดีกลับมา ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เราได้ทำมันไปพร้อมกับทีมหรือคนที่ร่วมเดินทางด้วยกัน แล้วประสบความสำเร็จไปด้วยกัน
อยากจะเป็นนักธุรกิจที่โดดเด่น ถ้าเป้าหมายตอนนี้ก็คงอยากให้บริษัทไปติด Top 10 ของอสังหาให้ได้
ก่อนจะเริ่มมาทำธุรกิจที่บ้าน เป็น Manager Relationship อยู่ที่ TMB เป็นพนักงานทั่วไป ดูแลกลุ่มลูกค้าประมาณ 2 ปี
ทำให้เราได้เรียนรู้การทำงานในองค์กร ว่าต้องมีกระบวนการอย่างไร การที่เราต้องมีหัวหน้าเป็นอย่างไร การที่เราได้ใช้ชีวิตแบบพนักงานประจำปกติเป็นอย่างไร มันก็ทำให้เราได้เรียนรู้หลาย ๆ อย่าง
ได้เรียนรู้การทำงานตั้งแต่เริ่มว่าเป็นพนักงานมันรู้สึกอย่างไร เราต้องปรับตัวอย่างไรให้เข้ากับผู้คน
ถ้าเราเริ่มทำธุรกิจของเราเลย เราอาจจะไม่ได้สัมผัสตรงนี้ การที่เราไม่ได้เป็นนายใหญ่ เราไปเจอใครก็ต้องทำการบ้าน ไปเจอใครก็ต้องวางตัวให้เหมาะสม รู้วิธีการเข้าหาคน ไปเจอแขกไปเจอลูกค้า ก็ต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ มีความน่าเชื่อถือ ทำให้เราได้เรียนรู้ เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ถ้าเราได้ออกไปกินข้าวข้างนอก ถ้าได้ใส่ฟรียูนิฟอร์มเราจะรู้สึกอย่างไร จะรู้สึกดี จะรู้สึกรอคอยวันศุกร์ ถ้ามีกิจกรรมจัดที่ออฟฟิศเป็นบางช่วง มีกิจกรรมสนุกสนุกอะไรบางอย่าง มันก็ทำให้เราก็เข้าใจพนักงาน
เราก็เอามาประยุกต์ใช้ที่นี่ได้
เริ่มมาจากที่ผมเล่นกีฬามาก่อน เพราะการที่เราจะประสบความสำเร็จมันต้องมีวินัย การซ้อม การกิน การพักผ่อนและก็ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ว่าเราอยากจะไปพิชิตอะไรให้ได้
ต้องมีแผนที่เราอยากเห็น อย่างน้อยต้องมีแผนทุก ๆ ปี 2-3 ปี มองไปข้างหน้าด้วยว่าเราอยากทำอะไร เป็นกลยุทธ์เป็นแผนงาน และก็คอยติดตาม ตามแผนงานนั้นให้ตลอด
ต้องเป็นเป้าหมายอย่างแรกที่เราสามารถทำได้จริง เป็นเป้าหมายที่เราอยากทำด้วย ถ้าเราถูกบังคับหรือมันไม่ใช่ทางที่เราอยากจะเดิน ต้องตั้งต้นให้ถูกว่าเราอยากจะไปทางไหน
เราทำได้ทั้ง 2 อย่างนี้ Step ต่อไปมันทำง่าย เหมือนถ้ามีคนบอกว่า ให้คุณไปทำอะไรที่คุณไม่ชอบ แล้วคุณต้องทำ คุณก็คงไม่อยากทำ การตั้งเป้าหมาย คือเราต้องมี passion กับมัน
ปีนี้ได้เริ่มมีการเปลี่ยน Vision ขององค์กร มีการ Brand Transformation
‘Believing A Better You Is Possible’
ปลูกฝังความเชื่อขององค์กรว่า เราเชื่อว่า ทุกคนสามารถดีขึ้นได้จริง แล้วสามารถส่งต่อพลังบวกให้กับสังคมได้เหมือนกัน
การตั้งความเชื่อ มันต้องเริ่มมาจากที่ตัวเราก่อน ว่าวัตถุประสงค์ของการดำเนินชีวิตหรือการทำธุรกิจ มันเริ่มมาจากอะไร Why ของการทำธุรกิจ การใช้ชีวิต
ด้วยการที่เราเป็นคน ชอบตั้งเป้าหมาย ชอบพิชิต ชอบดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยอยากส่งต่อตรงนี้ออกมา เป็นความเชื่อในองค์กรที่สามารถส่งต่อ ไม่ใช่แค่พนักงาน ส่งต่อไปให้คู่ค้า ส่งต่อไปให้ลูกค้า ได้ด้วยเหมือนกัน
นอกจากแค่เรื่องงานอยากจะให้เขา ตั้งเป้าหมายเรื่อง Work Life Balance ให้มีการดูแลสุขภาพ ให้ตั้งเป้าหมาย
เราออกกำลังกาย เรามีสุขภาพดี มันส่งผลต่องาน เพราะว่าทำให้ Mindset เราดี รู้สึกสุขภาพดี กระชับกระเฉง ไม่ป่วย คิดอะไรออกง่ายขึ้น
ที่นี่เราก็เลยพยายามรณรงค์ ให้ทุกคนใส่ใจเรื่องสุขภาพด้วย แล้วก็ตั้งเป้าหมาย นอกเรื่องงานเหมือนกัน
เวลาทำงานส่วนใหญ่ผมก็จะค่อนข้างนิ่งสุขุม แต่ก็ต้องเด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจบางอย่าง
เวลาไปเจอกับคนที่อาวุโสในวงการข้างนอก ไปเจอกับผู้บริหารท่านอื่น เราก็ต้องทำการบ้านนิดนึง จะได้รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร เขาเป็นคนลักษณะแบบไหน การจะเข้าหา ต้องเข้าอย่างไร เราก็จะพยายามเตรียมตัวให้พร้อม และก็วางตัวกลาง ๆ ไม่ได้โดดเด่นไปทางใดทางหนึ่ง
การที่เราต้องแก้ไขปรับปรุงนิสัยการทำงานให้เข้ากัน
“บางคนอาจจะชอบให้ปล่อย บางคนอาจจะต้องติดตามงานเยอะหน่อย บางคนอาจจะชอบการทำงานที่สนุก บางคนอาจจะชอบทำงานที่เคร่งเครียด แต่ละคนก็จะมีการทำงานที่แตกต่างออกไป”
พยายามเป็นคนที่ Flexible (ยืดหยุ่น) และก็ปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นได้ง่าย
ลองตั้งดูครับ ผมว่าการที่เราตั้งอะไรสักอย่าง มันช่วยทำเรามีแรงบันดาลใจ อาจจะไม่ต้องเกี่ยวกับงาน มันไม่ต้องเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ตอนเริ่มต้นก็ได้ แค่คุณอยากจะลดน้ำหนัก 5 กิโล พอคุณมีเป้าหมายนี้ คุณก็จะมี Action Plan ออกมา
“เริ่มจากอะไรเล็ก ๆ ก่อน แล้วพอเราเริ่มทำได้ ก็ค่อย ๆ ตั้งเป้าหมายที่มันยิ่งใหญ่ไปเรื่อย ๆ”
เราอยากจะส่งต่อพลังบวกให้กับสังคม เพราะฉะนั้น ตัวเราเองก็ต้องดีขึ้นก่อน