จากการซื้อคอมพิวเตอร์ 58,000 บาท เพื่อนำมาต่ออินเทอร์เน็ต
ซึ่งในตอนนั้นพี่หนุ่ยยังเป็นนิสิต คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ทำให้ต่อยอดมาศึกษา เรียนรู้ด้านไอที
เปิดมุมมองทางความคิด ต่อยอดจากการทำงานพิธีกรด้านไอที
ไปฟังสัมภาษณ์พี่หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์กันได้เลยครับ
ผมเป็นคนชอบคุย เลยทำให้ฟังสิ่งที่เขาอธิบายศัพท์ยากๆ ทางเทคนิคแล้วกับมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้สื่อสารออกมาได้ง่ายขึ้น
ถ้าจะอธิบายศัพท์ทางไอทีให้คนเข้าใจง่าย เป็นการพูดประโยคแวดล้อม เช่น “ Cloud Computing ระบบคอมพิวเตอร์กลุ่มเมฆ ไม่ต้องไปมองบนก้อนเมฆครับ มันมารวมตัวกันอยู่ตรงไหนก็ได้แต่มันมาด้วยอินเทอร์เน็ต สามารถดึงข้อมูลที่เก็บไว้ให้ ประมวลผลให้ ”
ทำให้คนรู้สึกเป็นมิตรกับเราในการอธิบายสิ่งเหล่านั้น โดยการศึกษาข้อมูลและเดาบนพื้นฐานของชุดข้อมูลเดิม
โดยได้รับประสบการณ์จากการเรียน ทำกิจกรรมหลายอย่าง ฝึกฝนจนทำให้เรามีทักษะในการอธิบายให้เห็นภาพ
เริ่มเป็นพิธีกรพร้อม ๆ กับการทำไอที ได้ครูพักลักจำ นำเทคนิคการเล่นมุกของพี่โน๊ต อุดม มาปรับใช้กับการเป็นพิธีกรในครั้งแรกด้วย แล้วเป็นที่ถูกใจของใครหลายคน จนถูกจ้างงาน และเป็นที่รู้จักมากขึ้น
ตอนนี้ก็ยังคงรับงานพิธีกรบ้าง และยังเป็น Content Creator ด้วย
ไอทีทุกวันนี้สำเร็จจาก หนัง Sci-fi, การ์ตูนวิทยาศาสตร์, เรื่องอวกาศ เรื่องอนาคตมาแล้ว จึงต้องเปลี่ยนกระบวนการการทำงานให้ใหม่ขึ้น
คนส่วนใหญ่อยากแค่เห็นการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่อยากเปลี่ยนเอง อยากให้คนอื่นเปลี่ยนกันไปก่อน ถ้าเขาเปลี่ยนก็จะเปลี่ยนตาม
ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงให้ปรับตัว แล้ว ททท = ทำทันที
เทคนิคคือ ใช้ความจำ อยู่บนเวทีเป็นพิธีกร เวลาเรียกชื่อแขกรับเชิญ ตำแหน่งหรือบริษัทต่างๆ การพูดแบบไม่ดู script ทำให้เรามีอายคอนเทคกับแขก เขาจึงรู้สึกได้ว่า ได้ถูกเชิญอย่างสมเกียรติ
ดีกว่าจำคือเข้าใจ ถ้าคุณเข้าใจก็จะจำได้ถาวร พอเข้าใจแล้วก็จะพูดได้เลย
เมื่อก่อนเข้าใจว่าคนเก่งต้องทำได้ทุกอย่าง แต่ตอนนี้เข้าใจว่า คนเก่งคือ คนที่รู้ว่าจะทำอะไรและไม่ทำอะไร แล้วทำเฉพาะที่เราทำถนัด เราจะทำได้ดี แต่ถ้าทำสิ่งที่ไม่ถนัด โลกจะวุ่นวาย อะไรที่ยังไม่ถนัด ให้ดูคนอื่นก่อน ถ้ามีโอกาสทำในสิ่งที่ไม่ถนัด เราต้องมั่นใจว่าเราทำได้ดีแล้ว จะได้ไม่บดบังคนอื่นที่เขาทำได้ดี หรือไม่ไปแย่งทรัพยากรคนอื่น
คุณเจมส์ เรืองศักดิ์ บอกว่า "คุณอยู่ในวงการไหนก็แล้วแต่ ถ้านับนิ้วแล้วคุณเป็น 1 ใน 10 คนแรก คุณจะมีงานทุกวัน" เพราะทุก ๆ วงการ มีท็อป 10 คนเราไม่ได้ปรารถนาจะรวยที่สุด การยืนระยะเป็นเรื่องยากกว่า แล้วยืนระยะแบบไหนให้มันสง่างาม ถ้าเราตะกละตะกลามรับหมดมันก็คงไม่ใช่
ผมเป็นมนุษย์ที่ถูกหมั่นไส้มากคนหนึ่งในวัยนึงของผม เพราะว่ามีอะไรมา ทำหมดเลย โอกาสมาผมก็คว้า สุดท้ายมันคือการวิ่งงับเงาตัวเอง
พออายุมากเลยคิดได้ว่า ไม่ควรรับอะไรมาแล้วทำหมด ให้รับบางโอกาสที่เราถนัด
เราควรที่จะคิดไปในทางดีทุก ๆ วัน เพื่อที่จะนวด ปั้น ให้ทัศนคติ แล้วก็ตัวตนของตัวเอง เจอตัวเราในแบบที่เราชอบ
ส่วนใหญ่เวลาดิวธุรกิจ คนจะชอบพูดว่า Win Win คนที่ดีก็จะให้ เรา Win และเขาก็ Win แต่คนที่ไม่ดี คือคนที่ Win เองคนเดียว ทำให้บางครั้งดิวงานผิด เสี่ยง เพราะอยากท้าทายความสำเร็จ
ผมไม่ได้สนใจ Quantity ที่แปลว่าปริมาณ
แต่ผมสนใจ Quality (คุณภาพ) มากกว่า
วัยเด็กเราต้องการ เพื่อนเยอะ ๆ เพื่อที่จะขยาย คนนี้รู้จัก คนนั้นรู้จัก แต่พอเป็นผู้ใหญ่จะเริ่มสนใจคุณภาพของการมีเพื่อนมากกว่า
ไปไหนไปด้วยกัน มีสังคมเดียวกัน รู้จักเท่ากัน มีเพื่อนกลุ่มเดียวกัน มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่มีความลับต่อกัน
ความไว้ใจ แชร์อัลบั้มรูปเดียวกัน ไม่คิดเผื่อเลือก ไม่มีใครมาเสริม ให้ตั้งมั่นตั้งแต่แรกว่าจะไม่คบเผื่อเลือก หรือ คบเพื่อลองเชิง
คติเรื่องชีวิตคู่ของผม เหมือนหนังเรื่อง Picture Perfect 'คู่ชีวิตไม่มีอยู่จริง มันมีแต่การหาใครสักคนแล้วทำให้มันเวิร์ค'
คติ 10 ปีแรกในช่วงของการมีชีวิตคู่ เข้าใจว่าทะเลาะในงานทะเลาะได้ แล้วกลับบ้าน ลืม ทิ้ง กลับมาเป็นสามี ภรรรยา กันต่อ แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่
10 ปีมานี้ สอนผมว่า
เริ่มตั้งแต่สรรพนามในการเรียกสามี ภรรยา มีความนุ่มนวล ให้เกียรติกัน พูดคุย เคลียร์ความขุ่นเคืองกันก่อน
**ลบพจนานุกรมชีวิตที่ใช้คำว่า เลิก หย่า ไม่ทน เอาคำพวกนี้ออก **
คนยุคนี้ เวลาสินค้าเสีย เขาไม่ค่อยซ่อม เขาซื้อใหม่ แต่คนยุคอดีตที่เขาอยู่กันได้นาน เพราะของเสียแล้วเขาซ่อม เพราะฉะนั้นชีวิตคู่ซ่อมได้ครับ
ความเก่งคล้าย ๆ สารเสพติด มีการเสพติดความรู้สึกสำเร็จ หรือเสพติดการถูกจัดอันดับความสำเร็จ
การใช้โซเชียลมีเดีย คนดูเสพแต่ความสุข พอสะท้อนไปถึงคนที่ไม่ได้อยู่โมเม้นเดียวกัน
มันทำให้เขารู้สึกว่า ทำไมเรายังนั่งอยู่มุมตึก เราต้องรับให้ได้ว่าชีวิตคนมันมีความหลากหลาย โลกมีต้อง 8,000 ล้านคน เพราะฉะนั้นมันไม่เหมือนกัน
คุณ Benchmark (เปรียบเทียบความสามารถ) ได้ แต่ Benchmark เพื่อพัฒนาตัวเอง Benchmark กับตัวเองก็ได้ ดูตัวเองในอดีตก็ได้
...คนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ก็เป็นคนที่ไม่ชอบตัวเองทั้งนั้นแหละ
มันถึงพัฒนาได้ไง ฉะนั้นมันไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร เปรียบเทียบตัวเองในอดีตก็พอ คุณก็จะเป็นคนดีขึ้นได้ในแบบของคุณ