จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณทำงานเต็มที่แล้ว แต่ยังถูกหัวหน้าตำหนิ ถูกว่าอยู่บ่อย ๆ ช่วงหลัง ๆ หัวหน้าเริ่มเพ่งเล็ง จ้องจับตาอยู่ตลอด รู้สึกเครียด ท้อ ไม่มีกำลังใจในการทำงาน ไม่ใช่ว่าคุณทำงานไม่ดี หรือว่างานไม่มีประสิทธิภาพ อาจจะเป็นเพราะว่าสาเหตุที่มันมากกว่านั้น
คุณเคยได้ยินเรื่อง The set up to fail syndrome รึป่าว ซึ่งเป็นหนังสือที่เขียนโดย ฌอง ฟองซัว มองโซนี (Jean-Francois Manzoni) และฌอง หลุยส์ บาร์โซ (Jean-Louis Barsoux) จาก Havard Business Review
เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากทั้งตัวหัวหน้าเองและลูกน้องด้วย ตัวอย่างเหตุการณ์ การเข้าไปทำงานใหม่ของลูกน้อง
หัวหน้าที่ควบคุมดูแลงานก็มีความคาดหวัง เพราะหลังจากรับพนักงานใหม่เข้ามาตามที่ประกาศรับสมัครไว้แล้ว ต้องมีคุณสมบัตินั่นนี่ พอทำงานจริงก็ได้มอบหมายงานให้ แต่แล้วลูกน้องเกิดการทำผิดพลาดขึ้นมาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ หัวหน้าจะเริ่มรู้สึกสงสัยในตัวลูกน้องคนนี้ว่ามีศักยภาพพอจริงง ๆ รึป่าว มีความสามารถอย่างที่หัวหน้าเคยเชื่อจริงหรือป่าว หลังจากนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาก็คือหัวหน้าจะเริ่มเข้ามามีส่วนในชีวิตการทำงานของลูกน้องคนนั้นมากขึ้น
เรียกว่า “Micro manage” คอยดูอย่างใกล้ชิด ละเอียดยิบทุกขั้นตอน เช่น งานเป็นยังไงบ้าง ตามถึงไหนแล้ว ลงมือทำบ้างแล้วรึยัง ทำไมคิดช้าแบบนี้ เพื่อพยายามป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นซ้ำรอยแบบเดิมอีก แต่ยิ่งหัวหน้าควบคุมดูแลแบบใกล้ชิด ลูกน้องก็มีโอกาสพลาดและทำออกมาได้ไม่มีคุณภาพ การ Productive ก็ลงลงตามไปด้วย
เพราะการที่ หัวหน้าเอาใจใส่มากจนเกินไปที่เรียกว่า ‘Micro manage’ ทำให้ลูกน้องรู้สึกไม่เชื่อมั่นในตัวเอง รู้สึกว่าหัวหน้าหรือองค์กรไม่ไว้ใจในตัวของเขาเอง ทำให้เกิดบรรยากาศอึดอัด บรรยากาศมาคุ ครุกกรุ่น สุดท้ายลูกน้องก็ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ ถูกบีบให้อยู่ในกล่องที่ไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่ จนกระทั่งสูญเสียความเป็นตัวเอง มีของ มีความสามารถ แต่ไม่มีความมั่นใจเหลืออยู่
นอกจากนี้ยังพูดถึงเรื่องความประทับใจครั้งแรกของหัวหน้าต่อลูกน้อง ซึ่งเป็นผลวิจัยที่ได้รับการยอมรับ บอกมาว่าหัวหน้า หรือผู้จัดการประมาณ 90% ใช้ First Impression ในการแบ่ง กลุ่มลูกน้องที่ ‘ใช่’ และ ‘ไม่ใช่’ ถ้ามองง่าย ๆ กลุ่มที่ ‘ใช่’ แม้จะทำอะไรผิดพลาด หัวหน้าคุณก็จะมองว่ามันคือ ประสบการณ์ที่คุณจะได้เรียนรู้และเติบโต
แต่ถ้าคุณไม่ใช่ล่ะ ถ้าคุณคือจุดอ่อนในสายตาหัวหน้า หัวหน้ามักจะเล่นเกมส์กำจัดจุดอ่อนกับคุณเสมอ ความผิดที่คุณทำมันถึงมันจะเล็กกระจิ๊ดเดียว แต่หัวหน้าจะมองมันว่าเป็นความผิดที่ใหญ่หลวงมาก เป็นอะไรที่เป็นตราบาป ผิดอย่างร้ายแรงไม่น่าให้อภัย หรือในเหตุการณ์ที่หัวหน้าหรือผู้จัดการของคุณต้องการข้อแนะนำ ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มที่ ‘ใช่’ หัวหน้าจะรับฟังอย่างตั้งใจ แต่ถ้า ‘ไม่ใช่’ คุณจะถูกเพิกเฉย โดนเมิน ไปโดยปริยาย
คนไม่ใช่อะไรก็ยากไปหมดเลยใช่มั้ยครับ แต่ถ้าคุณได้เรียนรู้วิธีการบางอย่าง อย่างเช่น วิธีการเอาใจหัวหน้า ที่คุณต้องทำงานอยู่ด้วยกันตลอดก็อาจจะเป็นผลดีที่จะทำให้คุณมีชีวิตการทำงานที่ดีขึ้นก็ได้
วันนี้ทางทีมงานเกลา ก็เลยได้เอาวิธีที่คุณจะ ‘พิชิตใจหัวหน้าให้อยู่หมัด’ แต่ต้องบอกไว้ก่อนนะครับว่าการทำตามขั้นตอนนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป จะรีบร้อนไม่ได้ เหมือนกับการตุ๋นขาหมู ต้องใช้เวลา เนื้อถึงอร่อย และถ้าเรายิ่งใช้เวลาในการทำ การพิชิตใจให้หัวหน้ารัก จะกลายเป็นเรื่องหมู ๆ อย่างที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
เป็นการแบ่งปันของ ๆ เราเองเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น อย่างเช่นอุปกรณ์การทำงาน ขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ การให้ข้อเสนอแนะ การเสนอไอเดียให้กับหัวหน้า
หรือแม้แต่ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เราเชี่ยวชาญกับทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน (แต่อันนี้ต้องระวังเรื่องคำพูด และช่วงเวลาการพูดด้วย)
ซึ่งในเรื่องของการให้ของเนี้ย เราสามารถลงรายละเอียดดีเทลได้อีกเยอะเลย มาลองดูกันครับ การให้ที่ดีจริง ๆ ควรให้ด้วยความเต็มใจไม่หวังผลตอบแทน เพราะการที่เราให้ของคนอื่น ๆ มันจะช่วยทั้งเราและเขา ยังไงนะหรอครับ
แน่นอนว่าการให้ของกับบุคคลอื่น ในขณะที่เขาต้องการหรือลำบากคนนั้นเขาต้องรู้สึกแฮปปี้ มีความสุขอยู่แล้ว แต่ในมุมของตัวเรานั้น สิ่งที่เราได้คือการลดความอยากได้ อยากมี หรือความโลภนั่นเอง และยิ่งการทำงานร่วมกันกับคนเป็นทีม เพื่อน ๆ จะให้ความช่วยเหลือเราตอบกลับอยู่เสมอ เป็นผลดีกับบริษัทอีกแน่นอนว่าถ้าเราลดความอยากได้ของคนอื่น แต่เรายิ่งให้ บริษัทก็ไม่ต้องมากังวลกับตัวเราว่าจะคิดไม่ดี หรือคิดเอาเปรียบบริษัทรึป่าว เป็นผลดีไม่ใช่แค่มัดใจหัวหน้า แต่เรายังเป็นที่รักของทุก ๆ คนในองค์กรอีกด้วย
มั่นใจว่าการสื่อสารทุกคนสามารถทำมันได้อย่างแน่นอน และเคล็ดลับการมัดใจหัวหน้า ก็คือคำพูดนั้นเอง บางคนสามารถใช้มันได้อย่างคล่องแคล่ว สื่อสารได้ชัดเจนทำให้ไม่ได้ใส่ใจ หรือสนใจในรายละเอียดมันสักเท่าไหร่ จริง ๆ
แล้วปากของเราเปรียบเหมือนปืน ถ้าหากปืนที่ดี มีมาตรฐาน และลูกกระสุนก็เปรียบเหมือนคำพูด ถ้าหากทั้งสองอย่างนี้ดี ทั้งปืนและกระสุนก็จะทำให้เราสามารถใช้มัน ยิงไปยังเป้าหมาย เข้าเป้าได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ
แต่หาก ปืนเราไม่ดีไม่ได้มาตารฐานกระสุนก็ไม่มีคุณภาพ สุดท้ายแล้วก็เกิดระเบิดทำร้ายคนที่ใช้มันนั้นเอง ไม่ต่างอะไรจากคำพูดของเราเลย เพราะฉะนั้นการพูดเป็นสิ่งสำคัญ ควรระวังการใช้งาน พยายามรักษาคำพูด รับปากว่าจะทำงานนั้นให้สำเร็จก็ควรทำให้สำเร็จจริง ๆ รวมถึงเน้นพูดบวกให้เป็นนิสัย
วิธีการพูดบวกสามารถเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วย การใช้คำที่มีความหมายบวก อย่างเวลาจะพูดว่า ยากจังเลย ให้เปลี่ยนเป็น ท้าทายจัง, เหนื่อยมากที่ได้ทำงานนี้ เป็น ปลื้มมากที่ได้ทำงานนี้, แบบนี้มันไม่ถูกต้องนะ เป็น ถ้าเป็นอีกวิธีจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านะ
และถ้าเสริมเรื่องการพูดจาด้วยความจริงใจ ไม่ก้าวร้าว ไม่หยาบคาย ให้นึกว่าถ้าเป็นคนได้รับคำพูดนั้นแล้วรู้สึกสบายใจ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ นั่นละสิ่งที่ควรพูด เป็นการให้คำพูด เพื่อเป็นประโยชน์
แน่นอนว่าการช่วยเหลือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้หัวหน้า หรือคนรอบข้างเอ็นดูเรามากขึ้น เพราะการที่เราทำงานส่วนของเราเสร็จแล้ว และยังแบ่งเวลาช่วยงานหัวหน้าให้ไหลลื่น
ช่วยคิดช่วยทำอย่างขยันขันแข็ง ไม่ได้คิดถึงประโยชน์แค่ตัวเรา แต่คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม คิดว่างานคือคนในครอบครัว ตั้งใจ เต็มใจ ทำเต็มที่ แน่นอนว่าหัวหน้าต้องมองเราอยู่ในสายตาแน่ ๆ หรือแม้แต่การช่วยเหลือเพื่อนในทีม
เพราะหัวหน้าส่วนใหญ่มักจะมอง และประเมินตัวเราผ่านการเข้าสังคมของเราอยู่ เรียกว่าเฟรนลี่ไว้ก่อน เพราะคุณสามารถเข้ากับคนอื่นได้ดี การทำงานจะต้องทำงานกันเป็นทีมอยู่แล้วจะขาดเรื่องนี้ไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
แต่ต้องระวังเรื่องของการช่วยเหลือที่มากจนเกินไป พยายามช่วยเท่าที่ตัวเองช่วยได้ ช่วยไหว ไม่ลำบากทั้งเขาและเรา แค่นี้การช่วยก็เป็นเรื่องสนุก เอนจอยกันทุกฝ่าย
ถ้าถามว่าทั้งหมดทั้งมวล สามข้อที่พูดกันผ่านมาทุกคนสามารถตั้งใจทำ ทำมันได้แล้วละก็ ข้อสุดท้ายคือข้อที่จะช่วยให้ทุกอย่างมันดียิ่งขึ้นเข้าไปอีกขั้น นั้นก็คือความสม่ำเสมอนั่นเอง ก็เหมือนการที่เราจะคบกับใครนั่นแหละครับ
คุณเคยได้ยินใช่มั้ยว่าคบกันแรก ๆ ดีมากเลยเอาใจใส่ ตามใจตลอด แต่พอคบกันเท่านั้นแหละ หน้ามือเป็นหลังมือเลย ไม่สนใจ ไม่ใยดี ไม่เอาอะไร เหมือนธาตุแท้ออกมา ที่ผ่านมามันคือโปรโมชั่น
เช่นกันครับเวลาการเอาใจหรือมัดใจใคร ถ้าคุณทำได้แล้วสามข้ออย่างที่ว่า ข้อสี่ก็คือการทำให้สม่ำเสมอ ทำแบบไม่ขาดช่วงจะเป็นการมอบความไว้ใจให้หัวหน้าหรืออีกฝ่ายได้อย่างดี และทุกคนจะเริ่มไว้ใจคุณ เปิดใจให้กับคุณมากขึ้น
เพราะเขารู้สึกปลอดภัย คุณคือ Safe zone ของเขา หรือการที่หัวหน้าอยากสอนงาน เขาก็จะเต็มที่กับการถ่ายทอดให้กับคุณ คุณคิดว่ามหาสมุทรจะมีความลึกขนาดไหน คำตอบคือคุณไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ ๆ มหาสมุทรสามารถรองรับน้ำได้จากทั่วทุกที่
เหมือนกันกับคนเราที่จะได้รับการถ่ายทอดสิ่งดี ๆ หรือความรู้ จากคนอื่น ๆ ก็จะต้องมีความถ่อมตัว ความตั้งใจ ความสม่ำเสมอมาก ๆ ก็จะสามารถเรียนรู้และรับรายละเอียดอื่น ๆ ได้มากตามเช่นกัน
นอกจาก 4 ข้อนี้แล้ว ผมก็อยากจะฝากเรื่องสุดท้ายไว้กับทุกคนนะครับ เพราะการที่เราสามารถให้ของ ให้คำพูด ให้ความช่วยเหลือ และให้ความสม่ำเสมอแล้ว เรายังต้องคอยย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า การที่เราจะสามารถมัดใจของหัวหน้า หรือเป็นที่รักของคนอื่น ๆ ได้ ต้องเริ่มจากการที่ ‘รัก’ ตัวเองให้ได้ก่อน รักที่จะยอมปล่อย รักที่จะยอมให้อภัย รักที่จะเจ็บเพื่อเรียนรู้ รักตัวเองให้เป็น เพราะไม่มีใครรักเราจริงเท่ากับเรารักตัวเอง