หลาย ๆ คนคงอาจจะเคยได้ยินคำนี้กับมามากแล้วนะครับ การเก่งแบบเป็ด คือ โลกของการทำงานจะมีคนที่เก่งเฉพาะด้านกับคนที่ทำงานได้หลายอย่าง
บางคนคงจะชอบทำอะไรเรื่อย ๆ พอทำเป็นแล้วก็ไปทำอย่างอื่นที่เราไม่เคยทำต่อ แต่แล้ว...ก็ไม่ได้สุดสักทาง
ซึ่งในอดีตสังคมมักจะปลูกผังให้เราหาด้านที่ถนัดให้เจอ แล้วฝึกให้เก่งในด้านใดด้านหนึ่งให้สุดไปเลย ทำให้มองว่าคนที่เป็น ‘เป็ด’ คือคนที่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรซักด้านในชีวิต จนกลายเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวสำหรับใครหลาย ๆ คน จนนำไปสู่... การรู้สึกหมดคุณค่าในตัวเองเลขทีเดียว แต่สำหรับปัจจุบันนี้เป็ดนั้นไม่ได้ถูกมองว่าไม่ดีอีกต่อไป เพราะคนที่สำเร็จในปัจจุบันนี้มักจะทำอะไรได้หลายอย่าง
เกลาได้ #สรุปหนังสือเรื่อง ‘วิถีผู้ชนะฉบับเก่งแบบเป็ด’ หนังสือแนวพัฒนาตนเองที่เป็นหนังสือขายดีทั่วอเมริกา เขียนโดย Pat Flynn ดังนี้ครับ
หลายครั้งที่คนเรามักจะเสียเวลาไปกับการเรียนรู้สิ่งที่ไม่ได้มีประโยชน์ต่อเป้าหมายของชีวิตเรา เราก็ต้องรู้ซะก่อนว่า "เป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร" เช่นถ้าเราอยากเป็นเชฟด้านการทำอาหารญี่ปุ่น เราก็ไม่จำเป็นต้องเรียนการทำบอนชอน บิงซู อาหาร ไทย แต่ให้เอาเวลาไปฝึกฝนทักษะที่จะส่งเสริมให้เราไปถึงเป้าหมายแทนดีกว่า
แล้วนำมาใช้ร่วมกัน เพราะในโลกใบนี้ มันมีสิ่งที่น่าสนใจเต็มไปหมด จึงไม่แปลกหากคุณจะมีความชอบในหลาย ๆ ด้าน แต่เราขอแนะนำว่าให้คุณเริ่มฝึกไปทีละทักษะ โดยสิ่งสำคัญ คือ ‘การจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังให้ดีว่าอะไรควรฝึกก่อน และ อะไรควรฝึกหลัง’ และต้องหมั่นฝึกฝนให้สม่ำเสมอ หลังจากนั้นก็ให้เราเอาทักษะหลาย ๆ ด้านที่เรามีมารวมประยุกต์ใช้ด้วยกันให้เกิดประโยชน์
บ่มเพาะทักษะพื้นฐานด้วยทักษะ ดังนี้
เพราะมันจะทำให้ราทำอะไรเป็นแบบแผนและเป็นระบบ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานนำไปสู่การฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ อีกด้วย เริ่มง่ายๆ จากการให้เราลิสต์สิ่งที่ต้องการจะฝึกฝน หรือ ต้องการจะทำในแต่ละวัน จากนั้นก็ให้เราติดตามและจับตาดูทุกอย่างใกล้ชิด เช่น ถ้าคุณฝึกฝนทักษะทางด้านการเต้น ก็ให้คุณอัดคลิปตอนที่ฝึกเอาไว้ด้วย เพราะจะทำให้คุณจริงจังกับการฝึก มองเห็นความก้าวหน้าและยินดีไปกับความสำเร็จของคุณเอง
เพราะสมาธิจะช่วยให้เรามีการขับยั้งชั่งใจ ไม่ขาดสติ ทำให้เราโฟกัสกับเรื่องที่สำคัญได้ดี ฝึกฝน ได้ไว และ มีประสิทธิภาพ ซึ่งการฝึกทักษะนี้ไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตาขัดสมาธิเพียงอย่างเดียว เราอาจจะเดิน นอน ยืน หรือนั่งบนโซฟาสบาย ๆ ก็ได้ จากนั้นก็กำหนดลมหายใจเข้าออก หรือ พยายามท่องคำภาวนาสั้น ๆ อะไรก็ได้ ให้ใจเรามีฐานที่ยึดเหนี่ยว จากนั้น พยายามไม่คิดฟุ้งซ่าน และ มีสติจดจ่อกับสิ่งที่เราทำอยู่
เพราะเหตุและผล มันจะช่วยจัดระเบียบความคิดของเรา ซึ่งการคิดอย่างเป็นระบบนี้จะช่วยให้เราเข้าใจโลกและคนอื่น ๆ มากขึ้น ด้วยวิธีง่ายๆ ที่จะฝึกทักษะ เช่น การฝึกไขปริศนาตามแอพพลิเคชั่นหรือเกมต่างๆ หรือ ลองฝึกพูดคุยและถกเถียงกับคนอื่นเพื่อแก้ต่างหรือแสดงจุดยืนของตัวเอง ซึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับการพัฒนาทักษะนี้ คือ ‘การยอมรับความจริง’ การพยายามลดอคติของตัวเองลง และไม่ใช้อารมณ์มาเป็นพื้นฐานของความคิด
ซึ่งการโน้มน้าวนี้ ไม่ใช่การประจบสอพลอ แต่เป็นการ ‘หาผู้คนที่เขาเห็นด้วยกับเราอยู่แล้วและชักชวนให้เขาปฏิบัติตามแนวทางของเรา’ต่างหาก ซึ่งหลักการสำคัญคือ ‘การพูดจากใจจริงและพูดออกไปอย่างมั่นใจ’ เพราะความมั่นใจตัวนี้จะทำให้คนอื่นเชื่อมั่น ในตัวเรา วิธีง่ายๆ ที่จะพัฒนาทักษะนี้ คือ การพูดคุยและแนะนำตัวเองเพื่อทำความรู้จักกับคนใหม่ ๆ อย่างน้อย 1 คนต่อวัน จากนั้นก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือถามไถ่แนวทางที่คุณจะช่วยเหลือเขาได้ หรือไม่ก็ฝึกแสดงความคิดเห็นที่ดีและเป็นประ โยชน์ผ่านการเพจเกลาก็ได้เช่นกันนะครับ
เพราะถ้าเราไม่ฝึกฝนและห่างหายจากมันไปนาน ๆ เราก็จะหมดศรัทธาและความพยายามในสิ่งนั้น ๆ ซึ่งวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยฝึกทักษะนี้ก็คือ การที่เราเชื่อก่อนว่า "เราทำได้!!" เพราะมันจะทำให้เรามีกำลังใจ ไม่หลุดโฟกัส และ พยายามไปอยู่ในเส้นทางที่จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายได้จริง ๆ
เพราะ เทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน เราสามารถปรับตัวได้โดยดูคนที่ประสบความสำเร็จเป็นแบบอย่าง (สามารถดูได้จากหลายๆคลิปที่เกลาได้ไปขอสัมภาษณ์ได้เลยนะครับ) ดูว่าเขามีทักษะอะไรและไม่มีทักษะอะไรบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณไปลอกเลียนแบบเขานะครับ การดูเพื่อเป็นแนวทางหรือตัวอย่างในบางเรื่องก็เท่านั้น เช่น ถ้าเราอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพ ก็ให้เราไปดูว่าเขามีวิธีดูแลสุขภาพอย่างไร ศึกษาเทรนด์ต่าง ๆ ตามบริบทนั้น ๆ แล้วนำมาปรับใช้ครับ
ไม่ว่าเราจะมีเทคนิคหรือเคล็ดลับที่ดีเลิศมากแค่ไหน แต่ถ้าไม่ลงมือทำมันก็ไม่มีวันสำเร็จแน่นอน ดังนั้น...จงเรียนรู้ทฤษฎีแค่พอประมาณและหมั่นฝึกฝนให้มากเข้าไว้ เพราะยิ่งคุณลงมือจริงมากเท่าไร คุณก็จะเก่งทักษะในด้านนั้น ๆ เอง ยกตัวอย่างเช่น บางคนอาจจะศึกษาเรื่องกองทุนหรือหุ้นมาเป็นปี ๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะลองหรือลงมือทำซักที และสุดท้ายแล้ว...ต่อให้เรารู้ทฤษฎีมาลึกซึ้งแค่ไหน มันก็เสียเวลาและเปล่าประ โยชน์ ‘หากเราไม่นำมาใช้จริง’
ทีนี้เราก็รู้กันแล้วใช่ไหมครับว่า การเก่งแบบเป็ดนั้นมันไม่ใช่เรื่องแย่เลยซักนิด เราไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดเพราะไม่เชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งอย่างใคร ๆ เขา เพราะเราสามารถเรียนรู้ที่จะมีความสุขจากทักษะหลายๆอย่างของชีวิตเราได้
และสำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มฝึกฝนจากทักษะอะไรดี เราก็แนะนำให้คุณเริ่มฝึกทักษะจากสิ่งที่ตัวเองชอบก่อนก็ได้
ซึ่งคนที่หาความชอบของตัวเองไม่เจอก็อย่าเพิ่งเสียใจ ไปนะครับ เพราะการที่เรายังหาไม่เจอ มันก็ไม่ได้แปลว่าไม่มี แต่มันเป็นเพราะเรายังลองไม่มากพอต่างหาก อีกทั้งบางทีเราก็ไปตีกรอบว่าไม่ชอบมันตั้งแต่ยังไม่ได้ลองทำเลยด้วยซ้ำ
ฉะนั้นอย่าลืมให้โอกาสตัวเองกันด้วยนะครับ เพราะยังมีทักษะใหม่ ๆ อีกมากมายรอให้เราข้าไปเรียนรู้อยู่ทุกแห่งหน
สุดท้ายนี้ขอให้ทุกคนโชคดีและประสบความสำร็จฉบับเป็ดปีกแข็งไปด้วยกันนะครับ
มาฟังเรื่องราวละเอียดมากยิ่งขึ้น กับรายการ 'เกลาไปเล่าไป' ep.9 แล้วมาเป็นเป็ดปีกแข็งไปด้วยกันนะครับ
https://youtu.be/Ra7ESW9v7nc . พิกัดสั่งซื้อหนังสือ : https://bit.ly/3oy2vLD